เทศน์บนศาลา

กิเลสไม่โง่

๒๕ ก.ค. ๒๕๔๙

 

กิเลสไม่โง่
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์บนศาลา วันที่ ๒๕ กรกฏาคม ๒๕๔๙
ณ วัดป่าสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เราเกิดมาเป็นคนนะ แล้วมีโอกาสมาก มีโอกาสเพราะว่าเราสนใจในศาสนา ครูบาอาจารย์บอกว่าผู้ที่สนใจคือผู้ที่มีอำนาจวาสนา ถ้าคนไม่มีอำนาจวาสนา งานนะ งานของเรา หน้าที่การงานของเรามหาศาลเลย ทุกคนว่าต้องรับผิดชอบ ในสามัญสำนึก คนที่มีหน้าที่รับผิดชอบคนนั้นเป็นคนดี คนดีต้องรับผิดชอบหน้าที่การงานของตัว ต้องรับผิดชอบ ต้องทำงาน แล้วเราสละออกไปเห็นไหม กิเลสมันไม่โง่นะ แต่มันทำให้คนโง่ กิเลส คำว่ากิเลสนี่นะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถ้าไม่ตรัสรู้ธรรม จะไม่มีคำว่ากิเลส คำว่ากิเลสเห็นไหม คือความเคยใจ สิ่งนี้มันทำให้คนเนี่ยโง่ มันเองฉลาด

แต่ในเมื่อธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บอกว่าการดำรงชีวิตของพวกเรานี่เห็นไหม ดูสิเราว่าเราเป็นชาวพุทธ แล้วพระเนี่ยบวชเป็นผู้ดำรงศาสนา ๔ แสน ๕ แสนองค์นะ เราก็ว่าสิ่งนั้นเป็นธรรมสิ่งนั้นเป็นธรรม ผู้ที่เป็นพระแล้วเนี่ยเป็นผู้ประเสริฐ สมมุติว่าเป็นศากยบุตร เป็นพุทธชิโนรส เป็นศากยบุตรเห็นไหม เป็นตัวแทนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่เป็นนักรบน่ะ เวลาบวชมาเนี่ยเป็นสมมุติสงฆ์ เราเห็นว่าพระมากๆ พระที่อยู่มากๆ เราได้ทำบุญตักบาตร สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ดีเห็นไหม

มันก็เหมือนเรา เหมือนกับโยมที่ว่าต้องมีหน้าที่รับผิดชอบ เราต้องมีหน้าที่รับผิดชอบนะ เป็นคนดีเห็นไหม หน้าที่รับผิดชอบของเราหน้าที่การงานอะไรล่ะ เป็นพ่อเป็นแม่ต้องรับผิดชอบการงานด้วยต้องเลี้ยงดูด้วย เลี้ยงดูลูกของตัวเพื่อลูกตัวไม่เป็นภาระสังคมนะ เป็นคนดีกับสังคม คนนั้นครอบครัวนั้นเห็นไหม เขาให้เป็นพ่อตัวอย่าง แม่ตัวอย่างกัน ถ้าใครประสบความสำเร็จเห็นไหม

นี่เหมือนกัน พระถ้าบวชมาแล้ว หน้าที่ของพระคืออะไร หน้าที่ของพระก็เหมือนประชาชนเนี่ย ประชาชนเรามีหน้าที่การงาน แล้วเวลาหน้าที่ของพระนะ เวลาบวชกับอุปัชฌาย์เนี่ยอุปัชฌาย์ต้องให้กรรมฐาน เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ สิ่งนี้เป็นหน้าที่ของพระ เพราะถ้าไม่บอกกรรมฐานจะบวชเป็นพระไม่สมบูรณ์ เพราะหน้าที่การงานไง แต่เวลาบวชไปแล้วมันก็เหมือนประชาชน ประชาชนมีหน้าที่การงานต่างๆ กัน จริตนิสัยของคนต่างๆ กัน ประกอบสัมมาอาชีวะก็ต่างๆ กัน สิ่งที่เลือกสิ่งที่เป็นไป แล้วก็ทุกข์ก็ยากกันไป ตามแต่ภาระหน้าที่ เพราะคนเราเกิดมามีกรรมพาเกิด

ถ้าไม่มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราจะว่าเราเกิดมาเห็นไหม เนี่ยกิเลสมันหลอกนะ หลอกว่าคนเราเกิดมาตายแล้วก็จบกัน เกิดมาแล้วนะก็ใช้ชีวิตของเราไป เป็นคนดีอย่างนี้ก็เป็นคนดีแล้วเห็นไหม สังคมจะพูดมากเลยว่าเราเนี่ยทำดีแล้ว ทำไมต้องไปวัดไปวา ไปวัดไปวาเห็นไหม ถ้าเราไม่ได้วัดเห็นไหม ดูมาตรวัดสิ เขาจะวัดเลยว่าสิ่งใดยาวสั้นขนาดไหน แต่ถ้าเป็นของเราเอง เราไม่ได้วัดใจของเรา เราก็ว่าเป็นคนดี

กิเลสมันหลอกว่าเรานี่ดี เรานี่สมประกอบ จะมั่งมีศรีสุข จะดีขนาดไหนก็แล้วแต่นะ เราเกิดมา เราใช้ชีวิตเพื่ออะไร ถ้าใช้ชีวิตเพื่อเราเห็นไหม เราเกิดมาพบพุทธศาสนา เวลาเทวดาเขาอวยพรกันเห็นไหม หมดอายุขัยแล้วให้เกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาแล้วให้พบพุทธศาสนาเพราะอะไร เพราะพวกเราไม่มีปัญญาหรอกที่จะไปรื้อค้นเองน่ะ

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสร้างสมบุญญาธิการมหาศาลเลย เนี่ยต้องพร้อมนะ พระโพธิสัตว์ต้องพร้อมที่จะมาตรัสรู้ เนี่ย สร้างสมบุญญาธิการเพราะถ้าเราไม่สร้างสม เหมือนนักกีฬา นักกีฬาในปัจจุบันนี้ ถ้านักกีฬาคนไหนหมั่นขยันฝึกซ้อม นักกีฬาคนไหนมีวินัย การดำรงตำแหน่งของเขาจะอยู่ได้นาน เขาจะรักษาของเขา เขาจะประกอบอาชีพของเขาได้ตลอดรอดฝั่งเห็นไหม ถ้านักกีฬาคนไหนลุ่มๆ ดอนๆ มีทักษะ มีพรสวรรค์แต่ไม่ฝึกซ้อมนะเดี๋ยวก็ไปแพ้ ตำแหน่งหน้าที่ของตัวก็หมดไป

นี่ก็เหมือนกัน พระโพธิสัตว์ สิ่งที่ว่าสะสมมาเนี่ย ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย แล้วแต่อำนาจวาสนา สิ่งที่เสมอต้นเสมอปลายมาถึงจะมาเป็นพระโพธิสัตว์ไง แล้วพวกเรา เราทำอะไรมา เกิดเหมือนกัน คนเหมือนกัน เจ้าชายสิทธัตถะก็เป็นมนุษย์นะ เกิดเป็นมนุษย์เพราะอะไร เพราะว่ามนุษย์น่ะมีร่างกายและจิตใจเห็นไหม จิตใจๆ เป็นสิ่งที่ว่ารื้อค้นได้ แต่ถ้าเป็นเทวดา อินทร์ พรหมล่ะ มีแต่จิตใจเห็นไหม แต่ว่าเป็นกายทิพย์ ทิพย์ก็เป็นทิพย์เช่นสิ่งต่างๆ ของเขา

เนี่ยเกิดเป็นมนุษย์ เราก็เป็นมนุษย์มีค่าเท่ากัน แล้วเวลาทุกข์ยากล่ะ เวลามีความสนเท่ห์ล่ะ ความสนเท่ห์สงสัย มีเหตุปัญหาถามตัวเองไหม เนี่ยกิเลสมันหลอกว่าเรานี่ฉลาด ดูสิเวลาบวชพระขึ้นมาแล้วเห็นไหม ก็ศึกษาตามตำรากัน ศึกษาเห็นไหม ได้ชั้นนั้น ได้ใบประกาศมาว่าเป็นผู้ที่ฉลาด สิ่งนี้ฉลาดหรือ ฉลาดทำไมอมทุกข์ล่ะ คนที่ฉลาดต้องเอาตัวรอดได้ ดูนะหน้าที่นักศึกษา หน้าที่การงานของแต่ละบุคคลเขาบริหารประเทศชาติขนาดไหน ถึงที่สุดเวลาจะสิ้นอายุขัยนะ คอตกหมดเลย ต้องคอตกนะเพราะอะไร เพราะทุกคนต้องพลัดพราก การพลัดพรากนะพลัดพรากจากชีวิต เราไปข้างหน้าเราไม่รู้อะไรเลย เราจะไปเผชิญกับสิ่งใด แต่บอกว่านรกสวรรค์ไม่มี นรกก็ไม่มี สวรรค์ก็ไม่มี ตายแล้วสูญไงเห็นไหม เนี่ยกิเลสมันฉลาดนัก

กิเลสมันฉลาดนัก แล้วกิเลสนี่มันเป็นของใครล่ะ กิเลสมันเป็นของอยู่ที่ดวงใจทุกๆ ดวงใจนะ เราไม่ต้องไปมองกิเลสของคนอื่น กิเลสของคนอื่นเป็นเรื่องของเขา กิเลสของเราทำให้เราโง่ กิเลสมันไม่โง่แต่ทำให้คนโง่ โง่เพราะอะไร เพราะอยู่ใต้อำนาจของเขาเห็นไหม เวลาครูบาอาจารย์เราสอนนะ เวลาผู้ที่ประพฤติปฏิบัติต้องมีสติ การเคลื่อนไปการคู้ไปมันจะมีสติหมดเลย มีสติแล้วเราต้องย้อนกลับมา ย้อนกลับมาตั้งปัญหาถามตัวเองเห็นไหม แต่ถ้าเราขาดสตินะ เวลาครูบาอาจารย์ท่านเตือนนะ เหมือนศพเดินได้ เหมือนคนที่ไม่มีชีวิตจิตใจไง

ชีวิตจิตใจเนี่ยมันจะมาแก้กิเลสเห็นไหม ชีวิตจิตใจจะแก้กิเลส ชีวิตจิตใจ ชีวิตคืออะไร ชีวิตคือไออุ่นคือตัวพลังงานน่ะ ชีวิตคือสิ่งที่มันสืบต่อ ถ้ามันขาดจากตรงนี้ไปนะ ชีวิตดับแล้วจิตมันดับไหม จิตมันไม่เคยดับ จิตมันจะหมุนไปเอาสถานะใหม่ สถานะใหม่ก็ทุกข์ยากสถานะใหม่ไป สิ่งนี้เราไม่เคยเห็นเลย แล้วเราไม่เข้าใจเลย แล้วเราก็ลังเลสงสัย เลยจะศึกษาทางวิทยาศาสตร์ขนาดไหนเพื่อพิสูจน์กันนะ ทางโลกเขาต้องพิสูจน์กันว่าสิ่งนั้นมีไหม

ถ้าเราว่าเป็นทางวิทยาศาสตร์ เรานะเรามีปัญญาหน่อยนึง เราไปค้นในพระไตรปิฎกนะ สมัยพุทธกาลน่ะ มีกษัตริย์ก็ไม่เชื่อเรื่องนี้ พิสูจน์กันมาแล้ว ขนาดที่ว่าเขาเป็นกษัตริย์เนี่ย นักโทษที่จะประหารเห็นไหม เอาไปไว้ในแก้วครอบแล้วคอยดูวิญญาณออก ไม่เห็น สิ่งต่างๆ ก็ไม่เห็น เวลานักโทษประหารนะ เวลาไปประหารนะถ้าไปไหนให้กลับมาบอกด้วย ไหว้วาน ไม่มีใครกลับมาบอกเลย ถึงไม่เชื่อว่าตายแล้วมีการสืบต่อนะ

เวลาพระอรหันต์สมัยพุทธกาลไปทรมานเห็นไหม นี่เหมือนกัน บอกว่าถ้าเวลาต่างกัน เหมือนเวลาจิตออกจากร่างไง เหมือนกับเราลุกจากหลุมส้วม เราออกไป เราจะกลับลงมาอีกไหม เนี่ย มนุษย์เราไง คราวของมนุษย์ ความเป็นไปของมนุษย์เห็นไหม เขาก็ไม่มีเวลามาบอกเรา ๑ กาลเวลาก็ต่างกัน ๑ หรือว่าเขาไปตกนรกอเวจี เขาเหมือนคนอยู่ในกรงขัง เขามาบอกเราได้ไหม ไม่ได้ ด้วยเหตุด้วยผลนะ เนี่ยชี้กันด้วยเหตุด้วยผล เขายอมเชื่อ

ขณะที่ยอมเชื่อ เชื่อแล้วนะ ก็บอกให้ประกาศตนสิ ว่าเดี๋ยวนี้มีความเห็นเชื่อในพระพุทธศาสนา ประกาศไม่ได้เพราะเป็นกษัตริย์เห็นไหม ขนาดที่ว่าเชื่อแล้วก็ยังประกาศไม่ได้ เนี่ยกิเลสมันทำให้โง่ขนาดนี้ ทั้งๆ ที่มีเหตุมีผลที่ทำให้เชื่อได้แล้ว มันก็ยังไม่ยอมรับความจริง แล้วหาว่าตัวเองฉลาดไง คนฉลาดอย่างนี้ โอกาสอย่างนี้

ถ้าฉลาดอย่างนี้นะ ดูเวลาติดเห็นไหมเวลาภาวนาไปเนี่ยติด ถ้าติดมันไม่ขยับ มันไม่ก้าวเดิน สิ่งที่ติดใจมันจะข้องเกี่ยวอยู่อย่างนั้น แต่ถ้าใจไม่เชื่อเห็นไหม ไม่เชื่อว่าสิ่งนั้นมี แล้วทำไปมันสักแต่ว่าทำ ถ้าเป็นการสักแต่ว่าทำ ถึงบอกว่าในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ศรัทธาความเชื่อมันเป็นอริยทรัพย์ของมนุษย์เรา ถ้าไม่มีศรัทธาเราไม่เชื่อสิ่งใดเลย เราเชื่อแต่วัตถุนะ เราเชื่อแต่สิ่งที่โลกนี้เขาชอบแก้วแหวนเงินทอง เราไปเชื่อสิ่งนั้นเพราะอะไร เพราะมันจับต้องได้ แต่เราไม่เชื่อเรื่องนรก สวรรค์ ไม่เชื่อเรื่องครูบาอาจารย์เห็นไหม ครูบาอาจารย์เนี่ย

การก้าวเดินไป การตั้งสติไป ผู้ที่รู้ ผู้ที่เห็น ผู้ที่สัมผัสเห็นไหม สันทิฏฐิโก ใจที่สัมผัสนี่สำคัญมากนะ ถ้าใจไม่เคยสัมผัส ต่างคนต่างเหมือนตาบอดคลำช้าง ถ้าตาบอดคลำช้างไป ทั้งๆ ที่ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกไว้เต็มนะ อริยสัจ ๔ เห็นไหม ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค สติปัฎฐาน ๔ กาย เวทนา จิต ธรรม เห็นไหม เนี่ยมรรคญาณ มรรคทำอย่างไรเห็นไหม มันก็เห็นๆ กันอยู่ แต่เวลาทำขึ้นมาแล้ว ทำไมไม่เป็นไปตามที่เราปรารถนาล่ะ เพราะกิเลสมันไม่โง่ไง

มันเอาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาเชือดคอเรานะ แม้แต่ดูสิเราผ่านไปเห็นไหม สิ่งที่ว่าการเล่าขาน สิ่งที่เล่าขาน เราก็ไปอ่านตำราเห็นไหม พระไตรปิฎกนี่เป็นตำรา แล้วก็กิเลสมันยังอ้างอีกนะ ว่าสิ่งนี้เป็นปรมัตถ์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราศึกษาสิ่งที่เป็นปรมัตถ์ มันจะผิดไปไหน ใช่ มันเป็นปรมัตถ์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ปรมัตถธรรมไงคือธรรมที่หลุดพ้น ที่ทำให้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาตั้งแต่โคนต้นโพธิ์นั้นเห็นไหม พอจิตเข้าไปคัดสภาวะแบบนี้ สันทิฏฐิโก อาการของจิตที่มันทำลายกัน มรรคญาณที่เกิดขึ้นเห็นไหม สิ่งที่มรรคญาณเกิดขึ้นทำลายจิต ทำลายจิตทำลายอวิชชา ทำลายสิ่งที่ว่าโง่เง่าๆ ไง สิ่งที่โง่เง่าไง

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอดอาหาร ทรมานตนไปต่างๆ เห็นไหม มันโง่เง่าแล้วมันพาให้แสวงหาให้เป็นการพิสูจน์ก่อน เท่ากับว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้พิสูจน์ก่อนเลย ตรัสรู้ขึ้นมาโดยสะดวกนะ แล้วจะบอกว่าทางอื่นมี ทางอื่นมีไง ถ้าทางอื่นมีนะ เหมือนเรานะ เราเทียบน้ำใจของเรากับลูกของเรากับญาติสนิทของเรา เราจะรักไหม เราจะต้องการให้ลูกของเรา ญาติสนิทของเราเนี่ยต้องมีทางสะดวกเห็นไหม ลูกของเรานะ ทุกคนอยากจะให้ลูกน่ะมีหน้าที่การงาน จะให้บริหารจัดการสิ่งต่างๆ ด้วยตามพอใจทั้งนั้นเลย แล้วมันจะเป็นสภาวะแบบนั้นไหม สภาวะนั้นคือกรรมของเขาใช่ไหม

นี่ก็เหมือนกัน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเนี่ย เมตตามหากรุณา เราสวดถึงคุณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตลอดเวลา เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนารื้อสัตว์ขนสัตว์นะ พระโพธิสัตว์เห็นไหม ตั้งแต่แสวงชาติเป็นพระโพธิสัตว์ก็ต้องสละทาน ต้องช่วยเหลือสังคมเพื่ออะไร เพื่อสละ เพื่อเป็นบารมีไง เราสละออกไปเป็นสิ่งที่เราได้มาเห็นไหม สิ่งที่เราได้มาคืออำนาจวาสนา สิ่งที่อำนาจวาสนากระทำออก เหมือนกับเป็นหัวหน้าฝูงสัตว์ หัวหน้าฝูงสัตว์จะมีสัตว์นำฝูงนั้น เชื่อสัตว์ฝูงนั้นเห็นไหม เชื่อหัวหน้านั้น ถ้าได้ทำบุญทำทานกันมาจะมีสภาวะแบบนั้นเห็นไหม สิ่งนี้ได้สละได้พยายามสะสมมาเพื่อจะรื้อสัตว์ขนสัตว์ไง

แต่เวลาตรัสรู้ขึ้นมาเห็นไหม จะเทศน์ว่า จะสอนได้อย่างไร ๑ เพราะอะไร เพราะสิ่งนี้มันลึกลับมหัศจรรย์เห็นไหม ธรรมะนี่ละเอียดมาก ธรรมะนะเวลาครูบาอาจารย์ท่านว่านะ ธรรมะเข้าได้ทุกอณูไง มันอ่อนนิ่มเข้าได้กับทุกอณูเห็นไหม แต่ความคิดของเรา แม้แต่แค่ความคิดของเรานี่ ดูสิเวลาโกรธขึ้นมา เวลามีอารมณ์ขึ้นมา มันเข้ากับอะไรล่ะ มันเข้ากับความร้อน มันเข้ากับความทุกข์ มันเข้ากับความหนักหน่วงใจ มันจะไปเข้ากับทุกอณูอะไร แล้วคิดขึ้นมานะในการโต้แย้ง ในการพยายามจะหาทางออกเนี่ย สิ่งนี้มันเป็นเรื่องของความหยาบๆ นะ มันไม่ใช่ธรรม มันเป็นกิเลสเห็นไหม เนี่ยมันมีกิเลสเห็นไหม แล้วเราก็จะว่าเราฉลาดๆ ยิ่งมีการศึกษามากขนาดไหนนะ ยิ่งการศึกษามากทางวิทยาศาสตร์ต่างๆ มันจะมีความลังเลสงสัยมากเพราะสิ่งนี้เป็นข้อมูลเห็นไหม

เวลาครูบาอาจารย์เราไปหาหลวงปู่มั่น สิ่งที่ศึกษามา ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเชิดชูไว้ ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่ ทฤษฎีต้องเชิดชูไว้ เก็บไว้ในลิ้นชักนะ แล้วเอากุญแจใส่ไว้อย่าให้ออกมา เพราะนี่ไง เพราะกิเลสมันไม่โง่หรอก กิเลสมันฉลาด แล้วมันเอาแผนที่ เอาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาหลอกเรา หลอกเราในการที่จะประพฤติปฏิบัติ เวลาจิตมีอาการเป็นไปนะ จะเป็นอย่างนั้นๆ มันเป็นการคาดหมาย การคาดหมายเนี่ย

เราฟังสิว่าเราเป็นไข้ เราเนี่ยเป็นไข้ในร่างกายเรามันจะมีความร้อน ไข้มันจะสูงเห็นไหม ความร้อนของไข้มันเบียดเบียนเราไหม ในความคิด ในจินตนาการ ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่แหละ เวลาเราเป็นไข้ ไข้มาจากไหนล่ะ ไข้ก็มาจากเรา เชื้อก็มาจากเรา ติดเชื้อมาจากคนอื่นก็ได้แล้วแต่ แต่ก็ต้องมาเกิดที่เรา มันต้องเบียดเบียนเราเห็นไหม จิตของเรา จิตเป็นของเราใช่ไหม ในจิตของเรามีกิเลสไหม มี

ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามันเหมือนยา ถ้าเราไปโรงพยาบาล หรือเราไปซื้อยามากินดับไข้เรา นี่ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเหมือนกับยา แล้วเวลาเราเอายาเข้ามา เวลากินเข้าไปมันกินบ่อยครั้งเข้า เหมือนกับธรรมะ ศึกษาบ่อย ค้นคว้าบ่อย มันดื้อยานะ พอมันดื้อยาขึ้นมาไข้นั้นไม่หายหรอก ไข้ไม่หายด้วย แล้วสิ่งที่ว่ามันเป็นไข้มันก็อยู่ในตัวเรา แล้วเวลาเราศึกษาเราก็เอาเชื้อไข้เนี่ยไปศึกษาธรรม

เนี่ย กิเลสมันไม่โง่ มันฉลาด แต่มันอ้างอิง อ้างอิงธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วก็เคลิบเคลิ้มด้วยนะ เวลาภาวนาไปอาการจะเป็นอย่างนั้น จะเป็นความว่างอย่างนั้นเพราะอะไร เพราะศึกษาธรรมมาเห็นไหม ถึงต้องว่าเนี่ย ‘ต้องเชิดชูธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไว้ ใส่ในลิ้นชักแล้วใส่กุญแจไว้ อย่าให้ออกมา’ แต่ถ้าเวลาประพฤติปฏิบัติไปแล้วนะ จิตมันเป็นไปเนี่ย จะกราบธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

เวลาเรารักษาไข้เราเองเห็นไหม ถ้าเรากินยาชนิดนี้แล้วไข้มันหายไป โรคภัยไข้เจ็บหาย เราก็จำไว้ยาชนิดนี้แก้ไข้อย่างนี้ ยาชนิดนี้มีประโยชน์กับเราอย่างนี้ นี่สิ่งที่ยาแก้ไข้ กับเราอ่านฉลากยาแล้วว่าจะให้มันหาย แล้วไข้มันจะหายเนี่ยมันเป็นไปไม่ได้หรอก มันเป็นไปไม่ได้ มันหลอกเรา เวลาเราศึกษาธรรมกันจนเป็นคตินะ เป็นคติของชาวพุทธเราว่ามารน่ากลัวมาก กิเลสนี้น่ากลัวมาก พอน่ากลัวเราก็วาดภาพนะ ดูสิเวลาเขาจิตรกรรมฝาผนัง มารเนี่ยเขี้ยวยาวมาก เป็นยักษ์ เป็นสิ่งที่ทำลายเรานะ

คนไม่ได้ปฏิบัติคิดอย่างนั้นไง แล้วคิดว่าเรารู้จักกิเลสนะ กิเลสเป็นสิ่งที่ไม่ดี สิ่งที่เราจะทำแต่ความดี ติดดีนะ ติดดีเห็นไหม ธรรมนะ เวลา สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา สภาวธรรมเป็นอนัตตา สิ่งที่สภาวธรรมเป็นอนัตตา เราเจริญขึ้นมาเห็นไหม ตั้งสติแล้วเราพยายามประพฤติปฏิบัติทำสมาธิได้ จิตสบาย จิตโล่ง มันอยู่กับเราไหม อยู่กับเรามันชั่วคราว มันเป็นอนัตตา สภาวะนี้เราสร้างนะ เกือบเป็นเกือบตายนะกว่าจะทำจิตสงบได้ แล้วพยายามจะต้องชำนาญในวสี ชำนาญในเหตุ ให้เหตุนั้นมันมั่นคง

ถ้าเหตุนั้นเห็นไหม คนที่ชำนาญการจะทำอะไรนี่คล่องตัวมาก นี่คนที่ชำนาญในวสี ชำนาญในการประพฤติปฏิบัติ ต้องฝึกต้องฝนบ่อยครั้งเข้า เคยสงบด้วยวิธีการใด เคยปราบกิเลสด้วยวิธีการใด เอาวิธีการเนี่ยนำมาเป็นเครื่องปราบกิเลสเห็นไหม เอาวิธีการนั้นน่ะจำไว้ แล้วถ้าจำแต่เหตุไว้เห็นไหม แล้วเวลาปัจจุบันเกิดเหตุการณ์สิ่งใดเนี่ย เราจะต้อง เหตุการณ์ต้องพลิกแพลง กิเลสมันจะซ้อนตลอด กิเลสไม่โง่เลย คนที่นั่งสมาธิอยู่นี้ นั่งจงกรมอยู่นี้กิเลสจูงจมูกอยู่ตลอดเวลาไม่รู้ตัวนะ

แต่ถ้าเราฉลาดนะ เราฉลาดธรรมะจะเกิดขึ้น เราฉลาดเห็นไหม เพราะธรรมว่าเราต้องใช้ปัญญา แม้แต่การรักษาศีลก็ต้องมีปัญญา แล้วการสละทานก็ต้องมีปัญญา มีปัญญานะ เราต้องเลือกของเรา เลือกทำในสิ่งที่ดี เลือกทำในสิ่งที่เป็นสัมมาทิฏฐิความเห็นถูกต้อง ถ้าเลือกแบบมิจฉาทิฏฐิ ทานก็สละแต่สิ่งที่มิจฉา มิจฉาคือเราสละออกไปแล้ว แต่ว่าเป็นความพอใจของกิเลสไง ทำสมาธิก็เหมือนกัน ต่างๆ เนี่ยจะทำแล้วแต่ความพอใจของตัวเห็นไหม

แม้แต่ทำสละทานต้องมีปัญญา แม้แต่จะรักษาศีลก็ต้องมีปัญญา แล้วเวลาทำสมาธิก็ต้องมีปัญญา ปัญญาอย่างนี้ปัญญาใคร่ครวญ เนี่ยใคร่ครวญอย่างนี้ แล้วเวลามันปล่อยวาง เราเข้าใจว่าสิ่งนี้พอปล่อยวางแล้วเป็นธรรมๆ เป็นธรรมแต่เป็นสพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา สภาวะอย่างนี้มันเป็นอนัตตาไม่อยู่กับเราหรอก ถ้าเรารักษาไม่เป็นมันจะเสื่อม สิ่งนี้จะเสื่อมเพราะเป็นฌานโลกีย์ สิ่งที่ฌานโลกีย์เกิดจากไหน เกิดจากเราไง เกิดจากเรานี่สิ่งนี้เป็นวิธีการนะ แต่ถ้าผู้ศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วก็จะเคลมธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตามกิเลสไง

กิเลสมันจะหลอกว่าสภาวะแบบนี้เป็นธรรม สภาวะแบบนี้เป็นธรรม มันแค่เริ่มพิมพ์เขียวน่ะ เนี่ย ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ปริยัติเนี่ยเป็นพิมพ์เขียว พิมพ์เขียวเห็นไหม ดูสิเวลาเราสร้างบ้านสร้างเรือนเห็นไหม จะสร้างถาวรวัตถุเราต้องมีพิมพ์เขียว เพื่อเราจะสั่งวัตถุอุปกรณ์มาทำอย่างนั้น ให้ออกมาเหมือนแปลน แปลนนี่เราจะสร้างบ้านต้องมีแปลนก่อน ต้องมีแปลนต่างๆ ศึกษาแบบแปลนนะ แปลนเต็มบ้าน ในหัวมีรูปแบบเต็มไปหมดเลยนะ โห ปัญญาอย่างนี้ ปัญญาอย่างนี้ นี่กิเลสมันหลอกสองชั้นสามชั้นนะ

กิเลสเนี่ยมันไม่โง่เลย แต่เราว่ากิเลสมันเป็นมาร มันเป็นสิ่งที่ไม่ดี เราทำดีเพราะอะไร เพราะเราสร้างแปลนนะ เราคาดหมายว่าเราจะสร้างบ้านอย่างนั้น เราจะต้องจินตนาการอย่างนี้ จะสมประโยชน์อย่างนั้นเนี่ย มันบ้า มันเป็นความฟุ้งซ่านน่ะ มันเป็นความบ้าเห็นไหม อย่างเช่นเราจะซักผ้าเราก็คิดว่าเราจะซักผ้าๆ ผ้ามันสะอาดได้ไหม สะอาดไม่ได้เลย ถ้าเราจะซักผ้าเห็นไหม เราเอาผ้ามาเราแช่น้ำนะ ใส่ผงซักฟอกนะ เราจะซักของเรายังไง ซักแล้วจะตากแห้งยังไง จะเก็บกันยังไง เราทำแล้วผ้านั้นถึงจะสะอาด

แต่เราวางแผน เราจินตนาการไปเห็นไหม นี่พิมพ์เขียว สิ่งนี้เป็นพิมพ์เขียวนะ เป็นวิธีการไม่ใช่เป้าหมาย เป้าหมายคือผลน่ะ วิมุตติธรรมจะเกิดจากเรา กิเลสมันจะทำให้เราติดไปหมดเลย แล้วเวลาทำเห็นไหม กิเลสเป็นสิ่งที่น่ากลัว เราก็รู้จักกิเลสนะ สิ่งนั้นไม่ดี โม้กันปากเปียกปากแฉะนะ ธรรมะเนี่ยโม้กันปากเปียกปากแฉะเลย เถียงกันหน้าดำหน้าแดง สิ่งนั้นจะเป็นธรรม สิ่งนี้ไม่เป็นธรรม พูดไปเถอะนี่คือแสวงหาธรรมของเขาไง

กิเลสมันฉลาด แล้วเอาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาโต้แย้งกัน แล้วก็ว่าสิ่งนี้เป็นธรรมเห็นไหม โต้แย้งธรรมไม่ใช่ธรรม กิเลสมันหลอก กิเลสมันให้เราหมุนอยู่ในอำนาจของมันเห็นไหม แม้แต่ในการประพฤติปฏิบัตินะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พุทธวิสัย ปัญญานี่สูงส่งมาก แล้วเวลาสงสาร เหมือนพ่อแม่สงสารลูกมาก ไม่ต้องการให้ลูกลำบากยากเย็นเลย แต่มีความจำเป็นลูกเกิดมาแล้วก็ต้องให้เรียนหนังสือ ให้มีหน้าที่การงานเพื่อที่จะให้ดำรงชีวิตได้

นี่ก็เหมือนกัน เวลาจะประพฤติปฏิบัติเห็นไหม เวลาวางธรรมไว้นะ เนี่ยอดอาหาร ห้ามอดอาหาร ถ้าอดอาหารนะ ถ้าเด็กมันโง่เห็นไหม นักประพฤติปฏิบัติเรานี่โง่ อดอาหารก็คือการอดอาหารนี่เป็นธรรม มันอดจนตายนะ ตายแน่นอน อดอาหารเนี่ยอดตายเลยเพราะอะไร เพราะว่าพระพุทธเจ้าบอกว่าให้อดอาหาร แต่พระพุทธเจ้าบอกว่าห้ามอดอาหาร เพราะอะไร เพราะอดอาหารเนี่ยเพราะคนโง่ เนี่ยทำอะไร วิธีการ เอาวิธีการเนี่ย เอาวิธีการมาวิเคราะห์วิจัยกันไง แต่ให้ผู้ที่ฉลาดอดอาหาร

เวลาธุดงควัตรเห็นไหม ฉันมื้อเดียว ฉันหนเดียว ผ่อนอาหาร มักน้อยสันโดษ สิ่งนี้มีในธรรมตลอดเลย แต่การอดอาหารเพราะอะไร เพราะกิเลสนี้มันรุนแรงมาก เราประพฤติปฏิบัติไป เวลาเรานั่งสมาธิภาวนาเห็นไหม นั่งสัปหงกโงกง่วง ทำอะไรก็ไม่ได้ดั่งใจ แล้วก็อยากจะประพฤติปฏิบัติ อยากจะเสพสุข สุขจากโลกียะก็อยากจะเป็น รูป รส กลิ่น เสียง ก็สะสมเข้ามา เวลาประพฤติปฏิบัติก็มาเนี่ยเห็นไหม กินอิ่มนอนอุ่นแล้วก็จะภาวนายอดเยี่ยม มันก็คิดของมันไป วางแผนของมันไปนะ บ้า ๒ ชั้น ๓ ชั้นนะ

แต่เวลาจะอดอาหาร ถ้าคนคิดคนสุดโต่งเห็นไหม การอดอาหารองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอนุญาตเห็นไหม อดจนตาย เพราะอะไร ถ้าการอดอาหารนี่คือธรรมไง ไม่ใช่ การอดอาหารเป็นวิธีการเป็นอุบาย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเนี่ยห้ามไว้เพื่อกันคนโง่ ลูกเราเนี่ยถ้าโง่นะ ดูสิ อย่างเช่นปืนนะ อาวุธต่างๆ เนี่ย เราเอาไว้ในบ้าน เขาห้ามไม่ให้เด็กหยิบนะ เพราะอะไร เพราะมันพลาดพลั้งไปทำลายถึงเสียชีวิตได้ ของที่เป็นโทษให้เก็บพ้นมือเด็ก เตือนกันตลอดเวลา นี่ก็เหมือนกันของที่เป็นพิษเห็นไหม การอดอาหารนี่ ร่างกายขาดสารอาหารไม่ได้ ขาดอาหารนี่ร่างกายอยู่ไม่ได้หรอก ร่างกายนี่ต้องใช้อาหาร

แต่ดูสิดูโรงสีนะ โรงสีที่ใหญ่ๆ เห็นไหม เขาสีโรงสี ร้อยเกวียนพันเกวียนเห็นไหม มันก็เหมือนกินอาหารนั่นน่ะ เขาสีของเขาวันนึงได้ร้อยเกวียนพันเกวียนของเขา โรงสีน้อยโรงสีใหญ่ แล้วแต่กำลังการผลิตของเขา นี่ก็เหมือนกัน อาหารนะมันผ่านเข้าปากไป มันก็เป็นสารอาหารในร่างกาย เราขับถ่ายออกไป

ถ้าคิดมีธรรมเนี่ยมันจะเห็นสภาวะเลย แต่เราไม่เป็นอย่างนั้นสิ เราไปติดนะ อยากได้เป็นอย่างนั้น อาหารต้องเป็นอย่างนี้ เพราะถ้าสิ่งนี้จะถูก อาหารนี้จะถูกกับร่างกายควบคุมธาตุขันธ์ กิเลสมันเริ่มยึดมั่นถือมั่นเห็นไหม ผ่อนหรืออดอาหาร องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า ถ้าใครอดอาหารเพื่อเป็นอุบายวิธีการ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอนุญาต อนุญาตให้ผู้ที่ฉลาดทำ แต่ปิดกั้นผู้โง่เขลาไม่ให้ทำ เพราะทำแบบความโง่เขลา มันก็ถึงไม่ให้ให้กิเลสมันทำให้โง่สองชั้นสามชั้นไง ถึงปิดกั้นไว้ก่อน ปิดกั้นไว้นะ

ดูสิสมัยพุทธกาล เวลาผู้ที่ประพฤติปฏิบัติไป ขณะที่ว่าภิกษุเห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่าจะเข้าหลีกเร้นในพรรษานี้ ห้ามภิกษุเข้าไป แล้วภิกษุที่สร้างบุญสร้างเวรสร้างกรรมมา เวลาพิจารณาไปเห็นอสุภะ ไปจ้างให้กัลบกเชือดคอ เอาบริขารนี่เป็นรางวัลเห็นไหม จ้างเชือดคอกันเอง เวลากรรมมันมาถึงเห็นไหม แม้แต่วิปัสสนา อสุภะเนี่ย พอเห็นถึงอสุภะ มันก็ไปทำลายกันเห็นไหม นี่มันเป็นมิจฉาทิฏฐิ มันเป็นความเห็น

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ตัดป่า แต่เหลือต้นไม้ไว้ ให้ตัดกิเลสไม่ให้ทำร้ายร่างกาย ร่างกายเนี่ยเพราะกิเลสอุปาทาน มันไปยึดมั่นถือมั่น ความยึดมั่นถือมั่นของอุปาทานเพราะเป็นทุกข์เป็นกิเลส กิเลสมันยึดแล้วมันไม่โง่ มันฉลาด มันถึงทำให้เราที่มีกำลังที่จะไปชำระกิเลสไปทำลายตัวเองซะ ก่อนเพื่อที่จะให้กิเลสมันมีอำนาจอยู่ในหัวใจนั้น มันไม่ได้บุบสลายไม่ได้สะเทือนกิเลสเลย มันกลับทำให้ยึดมั่นถือมั่น ให้เป็นโทษของมันอีก แต่เพราะกรรมเห็นไหม

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงไม่ได้บังคับ ไม่ได้บัญญัติว่าห้ามพิจารณาอสุภะไง ทีนี้อสุภะเนี่ย ส่วนที่อสุภะอยู่ที่การกระทำไป การปฏิบัติของเราไป วิธีการนะมันจะมีมิจฉา มีสัมมา การก้าวเดินของเราจะต้องมีความถูกต้องไปเรื่อยๆ ความถูกต้องแล้วแต่เริ่มต้นตั้งแต่วิปัสสนาไปเนี่ย ถึงต้องติดครูติดอาจารย์ไง ติดครูติดอาจารย์นะ เวลาครูบาอาจารย์ของเราออกประพฤติปฏิบัติ ตำรานี่มีหมด ตำรานะมันเป็นตำราคือพระไตรปิฎก คือธรรมและวินัย

เวลาครูบาอาจารย์ท่านเทศนาว่าการเห็นไหม ธรรมและวินัยนี้เป็นศาสดาของเธอ เราต้องมีธรรมและวินัยนี้เป็นศาสดา เป็นที่ยึดมั่นเป็นหลักชัยของเรา เคารพเทิดทูนธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่เวลาประพฤติปฏิบัติน่ะกิเลสมันเสี้ยมมาตลอด กิเลสมันย้อนศรมาตลอดนะ ถึงต้องศึกษามาเห็นไหม เนี่ยถึงจะเป็นสุตมยปัญญา จินตมยปัญญา ภาวนามยปัญญา การภาวนาเกิดจากการภาวนาเนี่ยไม่ต้องไปลังเลสงสัยในความรู้ความเห็น ความรู้ความเห็นนี่วางให้หมด เวลาจะประพฤติปฏิบัติเนี่ย

ถ้าประพฤติปฏิบัติโดยความเห็นอันใดอันหนึ่ง นั่นล่ะมันจูงจมูกแล้ว เพราะมันเป็นการคาดหมาย เริ่มต้นนั้นก็ให้กิเลสจูงจมูกเลย แล้วถ้ากำหนดพุทโธมันจูงจมูกไหมล่ะ พุทโธนี่ไม่จูงจมูกนะ เพราะพุทโธนี่เราเป็นคำบริกรรม เริ่มต้นตั้งแต่นามธรรม สิ่งที่จิตใจนี่เป็นนามธรรม มันจะไม่มีสิ่งใดบรรจุมันได้เลย สิ่งที่บรรจุ หรือจับต้องจับนามธรรมอย่างนี้ได้ ถึงต้องมีหลักยึดไว้ก่อน คือกำหนดพุทโธๆ เป็นคำบริกรรมไว้ ถ้าไม่มีหลักยึดเห็นไหม เวลาสิ่งที่เขาพิสูจน์ค่ากันทางวิทยาศาสตร์ต่างๆ เขาต้องพิสูจน์ค่าได้ เขาต้องพิสูจน์ค่าได้ถึงวิจัยได้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร สิ่งนี้คืออะไร เพื่อมาพิสูจน์กัน

นี่ก็เหมือนกันถ้าเราไม่มีสติ สติเหมือนภาชนะ ภาชนะเนี่ยสติเห็นไหม ภาชนะคำบริกรรมพุทโธๆ สะสมว่าน้ำให้เต็มแก้ว ถ้าน้ำเต็มแก้วขึ้นมาเห็นไหม เหมือนกับสิ่งดูสิ ดูเขื่อนสิ เขาสร้างเขื่อนขึ้นมาเขากักน้ำไว้ได้ น้ำนี่ใช้ประโยชน์ได้ ปั่นไฟก็ได้ ใช้การเกษตรก็ได้ ใช้สิ่งต่างๆ ก็ได้ ถ้ามีน้ำมีชีวิตขึ้นมาทันทีเลย แต่ของพวกเราเวลากำหนดไปเนี่ยแห้งแล้ง เขื่อนก็กักไม่เป็น น้ำก็ปล่อยให้ไหลไป ซึมซับไปในทะเลทราย แล้วก็บอกว่านี่คือการปฏิบัติธรรม ว่างหมดเลย ว่างจนไม่มีอะไรเลย ขาดสติไงเห็นไหม

กิเลสมันฉลาดทุกแง่มุมเลย แล้วมันโง่ที่ไหนล่ะ มันไม่โง่เลย เรานี่โง่ ผู้ที่ปฏิบัตินี่โง่ โง่มากโง่จนเอาตัวเองไม่อยู่ไง ถ้าผู้ที่ฉลาดขึ้นมา ตัวของเราเองทำไมเอาไม่ได้ เวลาเราไปทางโลกเห็นไหม ทุกคนบอกฉันนี่ฉลาด ฉันนี่ทันคน ฉันนี่เก่งมาก ไอ้ทันคนๆ นั่นแหละ นั่นมันโง่กว่าตัวเอง มันโง่กว่าตัวเองเพราะอะไร เพราะพอทันคนก็ไปดูแต่เรื่องของภายนอกไง มันส่งออกไป หน้าที่การงานทางโลกส่วนหนึ่งนะ

เวลาประพฤติปฏิบัติ เราต้องเอาชนะตัวเราเองเห็นไหม อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน หน้าที่ของเราคือดูใจของเรา หน้าที่ของเราคือเอาใจไว้ในอำนาจของเรา ถ้ามันมีสติขึ้นมา เหมือนกับเรากั้นเขื่อนขึ้นมา ฝายใครเล็ก ฝายใครใหญ่ สมาธิใครมีอำนาจวาสนาขนาดไหน มันก็จะเป็นประโยชน์กับคนนั้นเห็นไหม

สิ่งที่มีน้ำ สิ่งใดมีน้ำสิ่งนั้นสิ่งมีชีวิต ถ้าสิ่งใดมีสมาธิสิ่งนั้นปัญญาก็จะเกิด ปัญญาที่จะเกิดอย่างนี้เป็นโลกุตตรปัญญา ถ้าเราเกิดโลกุตตรปัญญาขึ้นมากิเลสมันจะกลัว ถ้ากิเลสมันจะกลัวขึ้นมาอย่างนี้ กลัวอะไร เหมือนกับสิ่งนี้ หนามยอกเอาหนามบ่ง เพราะอะไร มันเป็นเรื่องของจิตแก้จิตนะ ถ้าเราไม่เอาหนามยอกเอาหนามบ่ง เราจะไปแก้กิเลสกันที่ไหน เนี่ยมันละเอียดอย่างนี้

เราจะแก้กิเลสก็เหมือนกับข้าศึกเห็นไหม ศัตรูต่อกันเราก็ไปทำลายเขา เราไม่พอใจใครเราจะทำลายเขา เราก็ไปทำลายเขา ไม่ทำลายเอง ทำเองไม่ได้ก็จ้างคนอื่นไปทำลายก็ได้ ถ้าไปจ้างคนอื่นทำลายเขา ไปทำลายเพื่ออะไร เพื่อสะใจของตัว เนี่ยมันสร้างแต่กิเลสสร้างแต่เวรแต่กรรมขึ้นมาเห็นไหม จะชนะคนมากน้อยไม่สำคัญ ต้องชนะเราเอง ที่ว่าละเอียด ละเอียดตรงนี้ไง ใครไม่กล้าทำลายเรานะ เราเนี่ยถ้าเราซักฟอกเราเท่าไหร่ มันยิ่งสะอาดขนาดนั้น แต่การซักฟอกนี่ เราไปเห็นเป็นความทุกข์ เป็นสิ่งที่ทำไม่ลง ทำไม่ได้

แต่ถ้าเป็นเรื่องของโลก สนุกเพลิดเพลินนะ สิ่งนั้นก็เป็นประโยชน์ สิ่งนี้ก็เป็นประโยชน์ เวลานั่งเฉยๆ นั่งสมาธิ เดินจงกรมนี่ไม่เป็นประโยชน์เลย เสียเวลาเป็นวันแล้ววันเล่าเห็นไหม ทำมา ๕ ปี ๑๐ ปี ยังไม่ได้ผลเลย ฟังสิ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๔ อสงไขยเห็นไหม ดูสิดูอย่างนี้ ดูสิดู ๑๒ อสงไขย สร้างสมมาอย่างนี้ไง เราทำอะไรมา จิตของเรามีคุณค่าขนาดไหน ขณะที่เราศรัทธา เรามีความเชื่อ เราเชื่อในศาสนาเราก็มีโอกาสแล้ว เราก็มีวาสนาแล้ว

มองไปทางโลกนะ คนที่เขาไม่สนใจเลย ที่เขาไม่เชื่อเลยก็มี ที่เขาเชื่อแล้วเป็นชาวพุทธก็เป็นชาวพุทธพิธีกรรมก็มี ชาวพุทธในทะเบียนบ้านก็มีเห็นไหม เวลาบวชเป็นพระขึ้นมาแล้ว ดูสิ เวลาออกประพฤติปฏิบัติก็ไม่กล้า จะถือออกธุดงค์ บริขาร ๘ แล้วแบกออกไปก็กลัวทุกข์กลัวยาก จะอยู่กันจะศึกษาธรรมะกัน จะว่าชำระกิเลสในห้องแอร์กัน ชำระกิเลสในสิ่งที่สะดวกสบาย มันเป็นไปได้ที่ไหน นั่นน่ะกิเลสมันทำให้เบี่ยงเบนไง เบี่ยงเบนให้ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติอยู่ในอำนาจของเขาตลอดเลย

การปฏิบัติก็ปฏิบัติตามกิเลส เวลาศึกษาขึ้นมา กิเลสอยู่ในสภาวะแบบนั้นเหมือนกิเลสเป็นสีดำ ต้องเป็นสีดำ ต้องเป็นสีดำ ไม่รู้หรอกว่ากิเลสเนี่ยนะ มันละเอียดอ่อนอยู่ในใจของเรา นึกรักก็กิเลส นึกชังก็กิเลส อยู่เฉยๆ ก็กิเลส เพราะอะไร เพราะมันเวทนา ๓ ไง อุเบกขาเวทนา อยู่เฉยๆ นั่นล่ะตัวกิเลสเลย เวลาจิตสงบเข้ามาเห็นไหม เวลาสงบขึ้นมาพอมันว่างหมด นั่นล่ะกิเลสตัวใหญ่ เพราะอะไร เพราะถ้ามันเสื่อมนะ มันจะทุกข์มากเลย

เหมือนเรามีเงินเห็นไหม เรามีเงินแล้วเงินเราสุรุ่ยสุร่ายจนเงินหมดไปเราจะทุกข์ไหม จิตเคยสงบนะเวลาจิตเสื่อมนะ ทุกข์มากๆ นี่เป็นกิเลสไหม ทุกข์ไหมล่ะ ทำไมไม่เป็นกิเลส ทุกข์ทำไม มันทุกข์เพราะอะไร เพราะมันมีแล้วเสื่อม เพราะมันเป็นอนิจจังไง สิ่งใดเป็นอนิจจังสิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์สิ่งนั้นเป็นอนัตตา ทุกข์เกือบเป็นเกือบตาย แต่เวลาฟื้นขึ้นมา เวลาพยายามตั้งสติขึ้นมา ทำความสงบพุทโธขึ้นมา เนี่ย ต่อสู้ด้วยความวิริยะอุตสาหะ มันก็เจริญขึ้นมา

ทุกข์ขนาดไหนมันก็ไม่พาให้เราตายหรอก ถ้ามันทุกข์แล้วมันตาย หรือสิ่งต่างๆ สิ่งที่ว่าเวลาตายไปแล้ว จิตมันจะสูญไป เราทนเอามันก็จบ เรามีขันติเอา กิเลสมันก็ต้องตายไป นี่มันเป็นอย่างนั้นไหมล่ะ ทุกข์ไปแล้วนะ ตายไปแล้วก็ไปเกิดใหม่ เนี่ยสร้างสมบุญญาธิการ ทำสมาธิได้ ทำสิ่งฌานสมาบัติได้ก็ไปเกิดบนพรหม อยู่บนพรหมเนี่ยจนอายุขัยขนาดไหน พอตายพอสิ้นอายุขัยจากพรหมมาเกิดใหม่ ก็นิพพาน นิพพานมาแล้วเพราะอะไร เพราะมันจำอะไรไม่ได้เลย อายุขัยของเขายาวไง

แต่ถ้าเวียนตายเวียนเกิดอย่างนี้เห็นไหม เวลาจิตสงบเข้าไปย้อนกลับไป จะเห็นบุพเพนิวาสานุสติญาณ ชาติที่แล้ว ชาติต่อๆ ไปเห็นไหม มีชาติที่แล้วเพราะอะไร เพราะมีชาติที่แล้วมีความสะสมอยู่แล้วมันถึงมีความรู้สึกอย่างนี้ไง ถึงมีความรู้สึกว่า เราต้องภูมิใจในความคิดอันละเอียดของเรา ในความคิดอันละเอียดเราคือรักตน รักตนต้องหาสมบัติ สิ่งที่เป็นประโยชน์ให้ตน ถ้ารักษาสมบัติสิ่งที่เป็นประโยชน์ให้ตนอะไรนะ อริยทรัพย์

ทรัพย์ภายนอกนี่มันเป็นทรัพย์จากทางโลกเขา ทรัพย์อย่างนี้เนี่ยมัน เราเขียนโครงการนะ เขียนโครงการดีๆ นะ เรายื่นธนาคารนะ เราจะได้กี่สิบล้านกี่พันล้าน มันก็ได้นะเห็นไหม เราไม่มีอะไร เรามีโครงการเรายังเอาได้เลยทรัพย์ของโลก สิ่งนี้แม้แต่มีกระดาษแผ่นเดียว เรายังเบิกธนาคารได้เลย แต่อริยทรัพย์เนี่ย เรามีเงินมาก พอมากมายมหาศาลขนาดไหน เราซื้อเอา เราไหว้วานเอา มันเป็นไปได้ไหม มันเป็นไปไม่ได้เลย เหมือนอะไร เหมือนกับเนี่ยเราไม่เคยอ้าปากเลย เม้มปากไว้ อาหารไม่เคยเข้าถึงท้องเลย เราจะรู้จักรสอาหารได้ยังไง มันเป็นไปไม่ได้

นี่จิตก็เหมือนกัน จิตสงบขนาดไหนแล้วก็แต่ สิ่งนี้มันแค่เป็นอาหารมันยังไม่เข้าถึงใจเลย ถ้ามันยังไม่เข้าถึงใจเห็นไหม เนี่ย ปัญญาจะเกิดยังไง ปัญญาจะเกิดย้อนกลับมาเห็นไหม มันต้องมีได้เสีย มีผู้ที่ได้ประโยชน์และผู้ที่เสียประโยชน์ การระหว่างกิเลสกับธรรมต่อสู้กันจะมีผู้ได้ประโยชน์และเสียประโยชน์ เสียประโยชน์คือใครเสียประโยชน์

แต่ถ้ากิเลสมันหลอกนะ กิเลสมันไม่โง่ มันฉลาด มันหลอกเราเห็นไหม เรามีศรัทธาขนาดนี้แต่เพราะเราปัญญาเราด้อย เราด้อยปัญญา เราเชื่อกิเลสมากเกินไป แล้วเราทำด้วยกิเลสมันอ้างอิง เห็นว่าต้องอย่างนี้ ๆ ทั้งๆ ที่ปฏิบัติอยู่ก็ให้กิเลสขับไส ต้องกลิ้งไปตามกิเลสเห็นไหม มันถึงมีแต่ฝ่ายเสียไง จะได้เสีย เอาอะไรมาได้ เอาอะไรมาเสีย มันไม่มีได้เลยมีแต่เสียกับเสีย กิเลสมันฉลาดกว่าทำให้เราเสียหายตลอดไป แม้แต่การประพฤติปฏิบัติก็เสียหาย เสียหายคือมันไม่มีผลขึ้นมา

แต่ถ้าเป็นทางโลกนะ มันเป็นการสร้างบารมีเห็นไหม เราได้ปฏิบัติถ้ามันไม่ถึงที่สุดมันก็ทำให้ภพชาติสั้นเข้า ทำให้อำนาจวาสนา ทำให้จิตใจของเรานี่มีพื้นฐาน พื้นฐานเพื่อยกจิตใจให้เข้มแข็งขึ้นมา ให้มีเชาวน์ปัญญา สิ่งที่มีเชาวน์ปัญญาเกิดจากไหนล่ะ ก็เกิดจากวิปัสสนา เกิดจากการใช้ปัญญา เกิดการใช้ปัญญาเนี่ยสะสมมาที่ใจ ถึงจะออกไปทางโลกเราจะแก้ไขวิกฤตต่างๆ ของชีวิตได้ แก้ไขวิกฤตต่างๆ ได้เพราะอะไร เพราะเราฝึกปัญญาอย่างนี้ มันจะย้อนกลับมาที่จิตเห็นไหม นี้มันเป็นเรื่องของโลกไง

แต่ถ้ามันเป็นการได้เสียระหว่างธรรมกับกิเลส ถ้าระหว่างธรรมกับกิเลสเห็นไหม จิตสงบขนาดไหนน้อมไป น้อมไปหา กาย เวทนา จิต ธรรม สิ่งที่เขาว่า กายเป็นนามรูป สิ่งที่เห็นเป็นกาย มันเป็นเรื่องของโลกียะทั้งนั้นน่ะ โลกียะเห็นไหม โลกๆ ก็เป็นอย่างนี้น่ะ เห็นกันเห็นตามความเป็นจริง แต่ถ้ามันสงบเข้ามานะ ถ้าเราย้อนไปเห็นกายนะ มันจะขนพองสยองเกล้า สิ่งที่ขนพองสยองเกล้าเพราะอะไร เพราะมันไปเห็นกิเลสไง เพราะมันไปเห็นหน้ากิเลส เราว่าเราจะคิดเราจะปฏิบัติกัน เราจะปฏิบัติกันอยู่เนี่ย เราจะชำระกิเลสน่ะ เราว่ากิเลสมันโง่ๆ นะ กิเลสมันจะรอให้เราเข้าไปนะ

เหมือนนอนหลับเลย เหมือนเราต้อนสัตว์เห็นไหม สัตว์เข้าที่อับ แล้วเราทำไง เราก็จับสัตว์นั้นได้ เราก็คิดว่าเราตั้งสติแล้ว พอเกิดเราภาวนาไปแล้วกิเลสมันก็จะรอให้เราเข้าไปเชือดคอมัน เป็นไปไม่ได้หรอก กิเลสน่ะมันฉลาดมาก ถ้าไม่ฉลาดมากนะ เราจะไม่เกิดไม่ตายอยู่อย่างนี้หรอก เรานี่เกิดตายเกิดตายนะ ชีวิตแต่ละวันแต่ละเดือนที่สิ้นไปเห็นไหม ข้างหน้าของเราเนี่ย ทุกคนจะเดินไปถึงจุดนั้น ทุกคนต้องเดินถึงจุดที่ชีวิตเนี่ย จิตนี้ออกจากร่างทุกคนต้องตายไป เพราะมันจะอยู่คงที่ค้ำฟ้าเป็นไปไม่ได้ สิ่งนี้เป็นไปไม่ได้

แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ปรินิพพานไปแล้ว เสวยชาติเห็นไหม เสวยชาติเป็นเจ้าชายสิทธัตถะแล้ว รื้อค้นมาจนเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการ ภิกษุก็เหมือนกัน ภิกษุผู้ที่ประพฤติปฏิบัติถึงที่สุดแล้วเห็นไหม พระอรหันต์จะอยู่หนึ่งกัปก็อยู่ได้ จะอยู่ขนาดไหนก็อยู่ได้ อยู่ได้ จิตนี้อยู่ได้เพราะอะไร เพราะการเกิดและการตายมันเห็นตั้งแต่กิเลสขาด กิเลสขาดจากใจเห็นไหม เพราะอะไร เพราะมันมีเชื้อไขมันถึงต้องตามไปเสวยอารมณ์ตามแต่กิเลสมาร กิเลสมารนะ

ขันธมาร กิเลสมาร ถ้ากิเลสมารมันก็ดึงไป แต่ถ้ามันสะอาดบริสุทธิ์ขึ้นมาแล้วนะ มันเป็นขันธ์ ขันธมารขันธ์นี่เขาว่าขนาดยังมีชีวิตอยู่เห็นไหม จะอยู่กัปหนึ่งก็อยู่ได้ อยู่ได้เพราะอะไร อยู่ได้เพราะร่างกายยังคงที่อยู่ ร่างกายเห็นไหม ในการเผาผลาญของธาตุไฟ เราจะเคลื่อนไหวได้ ในการขับเคลื่อนไปของธาตุลม ธาตุลมจะทำให้การย่อยอาหารการพัดเวียนไป เริ่มเจ็บไข้ได้ป่วยนี่ธาตุดิน ร่างกายจะแปรสภาพตลอดเวลา

ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ เห็นไหม สิ่งนี้ถ้ามันยังเคลื่อนไหวมันยังเป็นไปได้อยู่ เนี่ยเห็นไหม เรียกว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถึงบอกคนเราตายเกิดตายเกิดเนี่ย มานั่งบนกองกระดูก นั่งอยู่บนกองกระดูกของเราอยู่เห็นไหม ร่างกายที่หลายภพชาติมานี่ มันเป็นอนิจจังมันหมุนเวียนอยู่นี้ แล้วถ้ามันตายไป ถ้าสิ่งที่ตายไปจิตออกไปจากร่างเห็นไหม

แต่ถ้าพระอรหันต์เห็นไหม เนี่ยรั้งไว้จิตนี้ไม่มีตาย แล้วจิตที่บริสุทธิ์ต่างหากนะ มันจะไปตายได้ยังไงเพราะมันเห็นกิเลสตายมาหมดแล้ว จะอยู่ขนาดไหนก็อยู่ได้ แต่ แต่ต้องร่างกายพออยู่ได้ ถ้าร่างกายพิการเห็นไหม เราเข้าใจนะพระอรหันต์เป็นผู้ที่ฉลาด เป็นผู้ที่เข้าใจในเรื่องของโลก โลกนอกโลกใน เห็นไหม โลกปัจจุบันนี้ ถ้าดับขันธ์เดี๋ยวนี้จิตวิมุตติ จะอยู่ปัจจุบันนี้ผลประโยชน์กับโลก แต่ถ้ามันผลประโยชน์กับโลก แต่เครื่องมือมันชำรุดจนไปไม่ได้แล้ว มันจะผลประโยชน์กับโลกอย่างนี้ โลกเนี่ย

เราถึงเกิดมาไม่พบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง เพราะมันติดขัดอยู่ที่ร่างสรีระขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันต้องเสื่อมไปเป็นธรรมดา แต่หัวใจพระอรหันต์ไม่มีเสื่อม คงที่ตลอดเห็นไหม สิ่งที่คงที่อย่างนี้ มันอยู่กับเราอย่างนี้ ถ้ากิเลสมันโง่นะเราจะฉลาดกว่านี้ เราจะเข้าใจธรรมนี้ แต่นี่กิเลสมันไม่โง่มันฉลาด มันถึงทำให้เราเทียบค่า เทียบค่าเห็นไหม แล้วเราก็ไม่เห็นกาย พอเห็นกายแล้วก็เห็นตามสภาวะ ตามสภาวะที่กิเลสมันให้คิด ถ้ากิเลสมันจะปิดกั้นหมดเลย กิเลสมันฉลาดขนาดนี้นะ

มันให้เราคิดในเรื่องธรรมะ ให้เราคิดอย่างนี้ นี่คือธรรมๆ มันปล่อยไง เหมือนคนที่เขาโกรธเรา เขาไม่พอใจเรา เขาเกลียดเรามาก แต่เขาอ้างว่ารักเราเห็นไหม เขาก็จะให้เรามีชีวิตอยู่ เขาจะให้เราแค่ดำรงชีวิตได้เท่านี้ เขาจะให้เรายืนอยู่ในสังคมได้ แต่นั่นแหละเขาจะให้เราไปไม่ถึงที่สุดไง นี่กิเลสมันฉลาดขนาดนี้นะ มันโง่ที่ไหน แล้วเราก็เกลียดกิเลส กิเลสนี่เป็นสิ่งที่ไม่ดีเกลียดกิเลส แต่เวลามาหลอกเรา หลอกเราให้เราเป็นขี้ข้ามัน แล้วเวลาวิปัสสนาจะปฏิบัติธรรมก็เป็นขี้ข้ามัน แต่ถ้าจิตสงบนะเราย้อนไปเห็นกายนะ มันขนพองสยองเกล้า การเห็นหน้ากิเลสเพราะกิเลสมันอยู่ตรงนี้

สักกายทิฏฐิเรามีความเห็นผิด เพราะกิเลสมันเป็นอุปาทานให้เราเห็นผิดว่า สรรพสิ่งนี้เป็นเรา ร่างกายนี้เป็นเรา เป็นเราเป็นสมมุติ เป็นเราจริงๆ แต่สมมุติ สมมุติชั่วคราว สมมุติเพราะว่าเรามีบุญดีกรรมดีถึงมาเกิดเป็นเรา ถ้าไม่เกิดเป็นมนุษย์นะ มันต้องเกิด จิตนี้มันต้องเคลื่อนไป มันมีพลังงานของเขา ต้องมีสถานะให้เขาอยู่ ต้องเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม เป็นอะไรก็แล้วแต่ ก็เสวยชาติของเขา แต่ในปัจจุบันนี้เป็นมนุษย์ เป็นมนุษย์เห็นไหม สิ่งนี้เพราะบุญกุศล

แล้วพระพุทธศาสนา ขณะนี้ทำอะไรกันอยู่ ขณะนี้น่ะฟังธรรม ธรรมนี้มาจากไหน ธรรมนี้มาจากไหน ธรรมนี้เป็นขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ใครจะแสดงก็แล้วแต่ ไม่มีใครมีวุฒิภาวะเท่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรอก เกิดใน ๕,๐๐๐ ปีเนี่ย สิ่งนี้เข้าไปสัมผัสเข้าไปประสบ ขอให้เรารู้จริงตามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเถิด สิ่งนี้จะเป็นบุญกุศลกับเรามหาศาลเลย เพราะอะไร เพราะเห็นจริงรู้จริง ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นตถาคต ผู้ใดประพฤติปฏิบัติธรรมเห็นไหม

เวลากิเลสนะ มันชำระกิเลสเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นไป เห็นกายมันสะเทือนหัวใจเนี่ย สะเทือนเพราะอะไรล่ะ เพราะที่มันเชื้อไข้ ไข้ไง ไข้ในร่างกายเราไง เวลากินยาเข้าไปเห็นไหม ยาเพื่อลดไข้ นี่ก็เหมือนกันถ้าเราไปเห็นเชื้อ เชื้อความเห็นผิดของอุปาทานไง เพราะกิเลสเป็นอุปาทานมันเป็นนามธรรม มันอุปาทาน มันไปยึดว่ากายนี้เป็นเรา สรรพสิ่งนี้เป็นเรา อะไรก็เป็นเรา มันถึงตระหนี่ถี่เหนียวมันถึงยึดมั่นถือมั่นไง

นี่พระโสดาบันเวลาเห็นสักกายทิฏฐิเห็นไหม สักกายทิฏฐิ ปล่อยวางได้เห็นไหม จะเห็นตามความเป็นจริงนะ เห็นตามความเป็นจริงแล้วจะมีความมุ่งมั่น จะมีความจงใจ จะทำคุณงามความดี ความดีนี้ได้มาจากไหน ความดีเนี่ยได้มาจากไหน สิ่งที่เราเห็นจริงเนี่ย กราบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ เพราะอะไร เพราะว่าวิปัสสนาไป กายเป็นกาย จิตเป็นจิต ทุกข์เป็นทุกข์ มันแยกออกจากกัน จะวิปัสสนาขนาดไหนก็แล้วแต่วิปัสสนาไป แล้วแต่ความชำนาญๆ ความจริตนิสัย นี่สิ่งที่เป็นพิมพ์เขียวเห็นไหม วัตถุอุปกรณ์การก่อสร้าง มันอยู่ที่อำนาจวาสนานะ

ดูสิ ดูสมัยโบราณเขาสร้างแพ สมัยโบราณนี่การคมนาคมทางน้ำนะ เขาสร้างแพกันอยู่ในน้ำนะ ใครสร้างแพในน้ำได้ สิ่งนั้นเป็นผู้ลากมากดีเห็นไหม จะอยู่แพอยู่สะดวกสบาย เดี๋ยวนี้เราไปสร้างกัน มีช่องทางมีทางคมนาคมสะดวกเห็นไหม ดูคนมีเงินมีทองเขาจะไปเที่ยวอวกาศกันเห็นไหม สิ่งนี้มันแบบว่าอยู่ที่จริตนิสัย จริตนิสัยว่าเราใจเป็นอย่างนี้ เป็นโทสะจริต โมหะจริต เห็นไหม

โทสะจริต โมหะจริต แล้วจริตของเรานี่ถ้ามันน้อมไป สิ่งใดถ้ามันสะเทือนกิเลสมันชำระกิเลสได้ เหมือนยาถ้ามันตรงกับโรค สิ่งนั้นมันจะชำระโรคภัยไข้เจ็บนั้นหาย แล้ววิปัสสนาไป วิปัสสนากายไป ถ้าจิตมันวิปัสสนากาย มันเห็นสภาพความเป็นจริงของมันเห็นไหม นี่สภาพความเป็นจริง ความเป็นจริงคืออะไร ความเป็นจริงคือปัจจุบันธรรมนั้น ถ้าปัจจุบันธรรมนั้นนะ ถ้าสมาธิชอบ งานชอบ เพียรชอบนะ

ความเป็นจริงคือมันแปรสภาพเดี๋ยวนั้น มันเป็นไปในสภาวะแบบนั้น มันทำลายกันเดี๋ยวนั้นเห็นไหม กำหนดขาด ขาดที่ว่าทำลายๆ สิ่งที่ทำลายเหมือนกับเราจัดของเลย เหมือนกับเราเอาชุดเอาเสื้อผ้ามา เอากระดาษมาฉีกต่อหน้าเลย กระดาษเป็นแบงก์ เราฉีกทิ้งๆ ฉีกทิ้งทั้งอย่างนี้น่ะ ฉีกจนไม่มีอะไรเลย ไม่เป็นไร แต่ถ้าเป็นแบงก์เห็นไหม แบงก์เนี่ยเป็นแบงก์พัน เป็นแบงก์มีคุณค่ามาก เราจะกล้าฉีกทิ้งไหม เราฉีกทิ้งไม่ได้หรอก เพราะสิ่งนี้มีคุณประโยชน์กับเรา นี่เป็นเรื่องของโลกนะ

แต่ถ้าเป็นวิปัสสนาเห็นไหม กำลังมันพอเนี่ย พอกำหนดไปยังไงมันจะเป็นสภาวะแบบนั้น สภาวะแบบนั้นเห็นไหม มันไม่มีอะไรเลยๆ สภาวธรรมเป็นอย่างนี้ได้ เราสวดมนต์เห็นไหม เรียกร้องสัตว์ทั้งหลายมาดูธรรม แล้วจะไปเรียกร้องสัตว์ที่ไหนมาดูธรรมล่ะ ก็เรียกร้องสัตว์นรกในหัวใจเรา ไอ้กิเลสที่มันหลอกเราอยู่เนี่ยให้มันมาดูธรรม ฉีกออกหมดๆ เห็นไหม มันเป็นปัจจุบันตลอด มันเห็นสภาวะความเป็นจริงเห็นไหม จิตใจที่โดนกิเลสครอบงำอยู่ มันจะฉลาดขึ้นมา ฉลาดขึ้นมาก็ปล่อยวาง ปล่อยวางตทังคปหาน

การปล่อยวางชั่วคราว ความได้กับเสีย ความได้เห็นไหม ความได้มาคือธรรม ความเสียไปคือภาวนาแล้วไม่ได้นี่เสียไป นี่พลังงานเห็นไหม ดูสิเวลาเราขับรถไปเห็นไหม เราขับรถหรือเราไปยานพาหนะต่างๆ มันต้องมีพลังงานใช้พลังงานไป เราจะถึงเป้าหมายเห็นไหม การที่เราเสียพลังงานนั้น เราต้องเสียค่าน้ำมันเราเสียต่างๆ นี่ก็เหมือนกันเราวิปัสสนาไป เราเสียกำลังของสมาธิไป งานเพียรชอบไป เสียพลังงานเนี่ย พลังอย่างนี้มันจะเข้ามา โดยพลังงานเสียไปเนี่ยเราต้องถอยกลับมาเห็นไหม มันปล่อยวางขนาดไหน มันไม่ถึงที่สุด

การเสียไป การทุกข์โดยวิปัสสนา ทุกข์โดยกำลัง ทุกข์โดยวิธีการอย่างนี้เราต้องทำ วิธีการไม่ใช่เป้าหมายหรอก วิธีการนี่ทำไป แต่ถ้ากิเลสมันหลอกมันเอาวิธีการเห็นไหม พระพุทธเจ้าสอนไว้อย่างนี้ ในตำราสอนอย่างนี้ ใครบอกว่าเนี่ยก้าวเดินอย่างนั้นไม่ได้เลย ผิดจากนี้ไปออกจากนอกกรอบ มันจะผิดไปนะ มันฉลาดมากนะกิเลสเนี่ย มันจะทำให้เราเข้าไปอยู่ในกรอบของมัน จะเข้าไปจำนนกับกิเลสให้ไปยอมก้มกิเลสอยู่อย่างนั้นน่ะ

แต่ถ้าเราวิปัสสนาเป็นปัจจุบันเห็นไหม ถ้าวิปัสสนาไปกำลังอ่อนลงเราก็กลับมาที่พุทโธ กลับมาสร้างให้สมดุลตลอดเห็นไหม พอสมดุลปัญญามันหมุนไปนี่ จะเห็นความเป็นจริงนะ มรรคสามัคคีเนี่ยจะซึ้งใจมาก มรรคสามัคคีๆๆ ยังไง มรรครวมตัวยังไง แล้วขณะที่รวมตัวเห็นไหมเป็นอารมณ์หนึ่งเดียว เป็นอารมณ์หนึ่งเดียวเนี่ยมันมีอะไร มันมีตัณหาอยู่ มันมีอัตตาอยู่ ขณะหนึ่งเดียวมันปล่อยวางยังไง สิ่งนี้พอจะปล่อยวางแล้วปล่อยวางอะไร มีเหตุมีผลอะไร ไม่มี ไม่มีอย่างนี้ มันปล่อยวางชั่วคราว มันเป็นตทังคปหาน

ถ้าโดนกิเลสมันหลอกอีกนะ มันก็จะหยุด มันก็จะทำแค่นี้ เพราะอะไร เพราะการทำงาน ดูสิ เราขับรถมานะน้ำมันจะหมดละ แล้วจะทำยังไงล่ะ พอมันปล่อยวางแล้วนะ จะย้อนกลับไปเติมน้ำมัน ไม่เอาล่ะ ไม่เอา นี่ก็เหมือนกันพอมันปล่อยวางแล้วก็ว่าเป็นธรรม จะทำกลับไปที่สมาธิ จะกลับไปที่ปัญญา ไม่เอาๆ มันไปเรียกร้องเอาผลน่ะ มันไปเรียกร้องน่ะ เรียกร้องสัตว์ทั้งหลายมาดูธรรม ไม่ใช่ให้กิเลสมันเรียกร้อง เรียกร้องกลับมาให้ยอมจำนนกับมัน ถ้าเรียกร้องอย่างนี้เห็นไหม อะไรก็ไม่เอา สิ่งใดก็ไม่เอา เพราะมันทุกข์มันยากมันเข็ดมันขยาดไง เนี่ย ถ้าพูดถึงธรรมนะ

กิเลสมันไม่โง่นะ มันทำให้เราทุกข์ขนาดนี้ มันเข็ดขยาดมา แต่ถ้ามันมีอำนาจวาสนานะ คนมีอำนาจวาสนาเหมือนนักกีฬาเลย ถ้าเวลายังไม่หมด ระยะทางการแข่งขันยังไม่ถึงที่สุดจะเดินหน้าอย่างเดียว จะวิปัสสนาไปอย่างเดียว จะวิปัสสนาไป แต่ถ้าเราถึงเส้นชัยแล้วนะ เราผ่านเส้นชัยเห็นไหม จะถึงแตะอกไปแล้วเนี่ย ผ่านเส้นชัยไป นี่ไงวิปัสสนาถึงที่สุดมันต้องขาด มันต้องเป็นไปสิ

ตักน้ำใส่โอ่งเห็นไหม น้ำยังเต็มโอ่งได้ น้ำหยดลงหินทุกวันหินมันยังกร่อนเลย แล้วเราวิปัสสนาไปเนี่ยเราซักเราล้าง ระหว่างได้กับเสียเห็นไหม ระหว่างธรรมกับกิเลสต่อสู้กันในหัวใจถึงที่สุดนะ ถ้าเราดำเนินธรรมโดยถูกต้อง เป็นสัมมาทิฏฐิ ความเห็นชอบ งานชอบ เพียรชอบ แล้วมรรคสามัคคี มรรครวมตัวแล้วสมุจเฉทปหาน ขาดปั๊บ กายเป็นกาย จิตเป็นจิต ทุกข์เป็นทุกข์ เนี่ย เป็นจิต จิตเป็นอะไร จิตนี่เป็นอาการของใจ แล้วสิ่งที่รับรู้ล่ะ หลุดออกไปเวิ้งว้างมาก สิ่งที่เวิ้งว้างเห็นไหม จะเห็นสัจจะความเป็นจริงเลย

สิ่งนี้เป็นสันทิฏฐิโก อยู่กับใจผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ สิ่งนี้อยู่ในหัวใจ ถ้าหัวใจอย่างนี้เกิดขึ้นมาเห็นไหม กิเลสอย่างหยาบๆ จะหลอกเราไม่ได้อีกเลย กายนี่มันสักแต่ว่ากาย แต่มีคุณค่ามาก มีคุณค่ามากนะ เหมือนกับเรามีพาหนะมีสิ่งใดที่ประกอบธุรกิจขึ้นมาเห็นไหม เราจะซึ้งใจกับพาหนะคันแรกของเรา ที่พาเราประกอบธุรกิจจนเรามีฐานะขึ้นมา

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเราวิปัสสนาไปขนาดไหนมันปล่อยกาย กายเนี่ย เราพิจารณากาย พิจารณาเรื่องซากอสุภะของเราขึ้นมา จนมันเป็นประโยชน์กับเรามาอย่างนี้ สิ่งนี้เราจะซึ้งใจมาก ดูสิเวลาเป็นพระอรหันต์ขึ้นมาเห็นไหม สิ้นกิเลสแล้วเวลาเผาเนี่ย ธาตุขันธ์ ธาตุเห็นไหม กระดูกเป็นพระธาตุ พระธาตุมาจากไหนล่ะ เพราะมันฟอกใจฟอกกายอันนี้ เพราะอะไร เพราะหัวใจมันอยู่ในร่างกายนี้

สิ่งที่เราวิปัสสนาไป เราพิจารณา เราไม่ใช่ไปทำลายมันนี่ อดอาหารมาก็อดอาหารมาเพื่อเป็นอุบายวิธีการ เพื่อเป็นวิธี เพื่อเป็นการผ่อนกิเลส เพื่อไม่ให้ง่วงเหงาหาวนอน เพื่อไม่ให้นั่งสัปหงก เราอดด้วยปัญญา ใช้ปัญญาอดอาหารเพื่อจะให้มีกำลัง เพื่อจะให้มีสติ เพื่อจะให้เป็นประโยชน์กับการธรรมะก้าวเดิน ไม่ใช่อดอาหารเพื่อจะให้เราตายไป อดอาหารให้ร่างกายชำรุดทรุดโทรม การชำรุดทรุดโทรมเนี่ยมันเป็นเหตุสุดวิสัย เหตุสุดวิสัยเพราะเราต้องการคุณงามคุณธรรม เราต้องการคุณงามความดี

แต่ถ้าเราไปห่วงสิ่งที่เป็นการสิ้นเปลืองเห็นไหม การพลังงานที่สิ้นเปลืองไป เราหวงแหนพลังงานนั้นไว้ เราจะก้าวเดินไปไหนไม่ได้เลย เพราะเรากลัวความสิ้นเปลือง แต่ถ้าเราใช้พลังงานนั้นสิ้นเปลืองเพื่อขับเคลื่อน ขับเคลื่อนเพื่อให้จิตมันพัฒนาขึ้นมา มันดีขึ้นมา อย่างนี้สิ้นเปลืองก็ต้องยอม เนี่ยร่างกายถ้ามันจะเป็น เป็นทางเลือกว่ามันจะเป็นความชำรุดทรุดโทรม แต่มันก็ซ่อมแซมได้มันก็รักษาได้ แต่ถ้าคุณธรรมอย่างนี้เกิดขึ้นมากับหัวใจของเรา สิ่งนี้จะเป็นประโยชน์เห็นไหม

ถ้าเราใช้ปัญญา เราใคร่ครวญอย่างนี้ เราจะมีกำลังใจ ถ้ามีกำลังใจเห็นไหมกำลังใจมันมานะ ในการประพฤติปฏิบัติ ถ้าขาดกำลังใจซะอย่างเดียวเนี่ยเราจะทำกันอย่างไร เราจะก้าวเดินกันไปไหน อ่อนแอไปหมดเห็นไหม ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติอ่อนแอ อะไรก็จะให้มันรู้ขึ้นมาโดยให้มีครูบาอาจารย์คอยบอก บอกมากเกินไปก็เป็นผลเสียเห็นไหม ฟังสิ เวลาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าศึกษาขนาดไหน ยังต้องเก็บไว้ใส่ในลิ้นชักนะ แล้วเอากุญแจใส่ไว้ ล็อกไว้อย่าให้ออกมา แล้วเราจะเอาออกมา เราจะมาตีแผ่ เราจะมาเอาวุฒิ

เนี่ย กิเลสมันเสี้ยม มันพลิกกลับนะ มันพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือเลย เพราะการประพฤติปฏิบัติ การประพฤติปฏิบัติ ปฏิบัติธรรมเนี่ยมันต้องเป็นสันทิฏฐิโก มันต้องรู้ขึ้นมาจากใจ เอาหัวใจแก้ใจ เอาหัวใจเอาใจแก้ใจ เอาจิตแก้จิต เอาหนามยอกเอาหนามบ่ง มันจะเป็นขนาดไหนมันได้เป็นขึ้นมา มันเป็นขนาดไหน เวลาเรียนศึกษาขึ้นมาต้องทิ้งให้หมดวางให้หมด นี่มันถึงจะเป็นฝ่ายปฏิบัติ

แต่ถ้าปฏิบัติ ปฏิบัติโดยฝ่ายปริยัติ เอาปริยัติมาด้วยเห็นไหม กางแผนที่เลยเป็นอย่างนี้ เป็นอย่างนี้ มันก็เข้าทางกิเลสหมดน่ะ นี่กิเลสมันไม่โง่เลย เรานี่โง่มาก ปฏิบัติมาเห็นไหม มีดน่ะเวลาเราฟันนะเราใช้มีด เราใช้ทำอาหาร เราใช้ทำอะไรเราก็ทำอาหารสิ ทำไมเราเอามีดเฉือนมือเราล่ะ เราทำอาหารมันพลาดไปโดนมือเราเห็นไหมเนี่ย เวลาขาดสติมันก็พลาดไป ไอ้นี่นึกว่ามือเป็นอาหาร เฉือนเอาๆ เฉือนเอาไปเลย แล้วมันเป็นอาหารไหม แล้วมันเจ็บไหม ถ้าเป็นวัตถุเป็นธรรมดามันก็เจ็บสิ พอเจ็บมันก็ปล่อย

แต่จิตมันเป็นอย่างนั้นนะ ยิ่งทำลายพลาดโอกาสกิเลสมันหัวเราะเยาะเลย เนี่ยทำลายการประพฤติปฏิบัติเห็นไหม ก็เข้าทางกิเลสหมดไง ทำแล้วเนี่ย นี่ปฏิบัติแล้วนะ ดูสินั่งสมาธิ นั่งสมาธิ ๕ นาที นั่งเสร็จแล้วนอนละ เห็นไหม มันบอกก่อนนะวันนี้ต้องภาวนาก่อน วันนี้ภาวนาก่อนแล้วก็ทำเป็นพิธีไง ทำอย่างนั้นๆ ครบกระบวนการ นอน เห็นไหม นี่กิเลสมันหลอกอย่างนี้ แล้วก็ว่าประพฤติปฏิบัติธรรม ประพฤติปฏิบัติธรรม ประพฤติปฏิบัติโดยกิเลสจูงจมูกน่ะ แล้วมันจะเอาอะไรขึ้นมา

แต่ถ้าเราฝืนหมดทุกอย่าง ฝืน ฝืนใจตัวเองคือฝืนกิเลส ฝืนใจตัว ฝืนมันๆ เห็นไหม ถ้าไม่ฝืนอดนอนทำไม เราอดนอนผ่อนอาหาร อดอาหารอดไปทำไม อดนอนผ่อนอาหารนะ จิตจะใสมาก ถ้าเราอดนอนนะ อดนอน พักนึงง่วงนอน นอนนะ การนอน นอนไปเถอะไม่มีวันพอ ยิ่งนอนนะมันยิ่งง่วง เพราะยิ่งง่วงมันยิ่งมันเคยใจ เคยสภาวะแบบนั้น มันจะเป็นสภาวะแบบนั้นไปตลอดไป เนี่ยจะนอนให้อิ่มไม่มีหรอก

นี่ทางวิทยาศาสตร์เขาคำนวณแล้ว คนเราเกิดมา ชีวิตเราปกติ นอนส่วนหนึ่ง ใช้ชีวิตสองส่วนเห็นไหม การนอนพักผ่อนนี่มันเอาชีวิตเราไปส่วนหนึ่งเลยนะ แล้วเราจะมาใช้ชีวิตอย่างนั้นอีกหรือ ในทางวิทยาศาสตร์เขาขนาดเขาเตือนกันได้ขนาดนั้นนะ แต่ในการปฏิบัตินะขณะที่กิเลสยังมีในหัวใจนะ เราจะไม่เชื่อเราเอง เราจะฝืนไปตลอด การฝืนใจคือการฝืนกิเลส กิเลสอย่างหยาบๆ เราชนะมันได้ เราวิปัสสนากายจนมันขาดได้ กิเลสอย่างหยาบเราชนะมันได้ แล้วกิเลสอย่างละเอียดล่ะ เนี่ยมันไม่โง่นะ

เวลาที่วิปัสสนาขึ้นไป มันจะเอาสิ่งที่เคยทำมาแล้วมาอ้างอิง ถ้าอ้างอิงเนี่ย ธรรมะสำเร็จรูปไม่มี ธรรมะสำเร็จรูปไม่มีหรอก ธรรมะต้องเกิดเป็นอกาลิโก ไม่มีกาล ไม่มีเวลา จะเป็นสันทิฏฐิโก การเข้าไป แต่ถ้าเราวิปัสสนามาแล้วเป็นอย่างนี้ มันจะคิดเป็นอย่างนั้นไง นี่สัมมาทิฏฐิเห็นไหม ละกายละขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ ละแล้วไม่มีขันธ์ ๕ ไม่มีที่ไหนในเมื่อยังมีเวทนาอยู่ ขันธ์มีตลอดไป กายก็มีตลอดไปเพราะกายนอกกายใน

พอวิปัสสนากายนอกไปแล้วเห็นไหม กายนอกเห็นตามความเป็นจริง นี้กายไม่ใช่ของเรา ถ้าเห็นกายตามนี้เมื่อไรสติมันจะพร้อมมาก ถ้าดับเดี๋ยวนี้นะอบายปิดตรงนี้ไงเพราะอะไร เพราะสติมันทัน ถ้าจะตายเดี๋ยวนี้ตายต่างๆ มันสติมันพร้อมหมด แต่ถ้าเป็นปุถุชนเห็นไหม เวลาจะเป็นจะตายนี่มันจะกระชากอารมณ์ไปทั้งหมดเลย แล้วเกิดกรรมนิมิตอีกต่างๆ นะ ถ้าทำบาปอกุศล มันก็ตกไปตามแต่กรรมที่สร้างสมเห็นไหม ถ้าเป็นปุถุชนยังเกิดยังตายในวัฏฏะไม่มีการควบคุมได้

พระโสดาบันควบคุมได้ พระโสดาบันเนี่ยสติ สติเพราะมันทันเห็นไหม ไม่ลูบคลำ สีลัพพตปรามาส นี่สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส ขณะที่จะเป็นจะตายเนี่ย สติมันจะพร้อมมันจะทัน ไม่ไปตามอารมณ์ความรู้สึกนั้น เห็นการตายเป็นเรื่องธรรมดา เนี่ยการตายเป็นเรื่องธรรมดาๆ พอตายแล้วจะขึ้นแล้วถ้าไปอยู่บนสวรรค์เห็นไหม ไปอยู่บนสวรรค์ก็เป็นเทวดาอริยบุคคล ไม่ใช่เทวดาปุถุชน เทวดามีปุถุชน เทวดาอริยบุคคล ขึ้นไปบนพรหมก็เหมือนกัน พรหมอริยบุคคล พรหมปุถุชนเห็นไหม

มันจะเวียนตายเวียนเกิดตามสภาวะแบบนั้น นี่พิจารณากายอย่างนี้ เห็นสภาวะอย่างนี้ แล้วกิเลสอย่างละเอียดล่ะ กิเลสอย่างละเอียดมันก็หลอกนะ หลอกสร้างภาพ สร้างว่าเป็นอย่างนี้ สภาวธรรมเป็นอย่างนี้ เนี่ยธรรมสำเร็จรูปไง แล้วธรรมสำเร็จรูป กิเลสละเอียดก็หลอกให้ละเอียด ถ้าวิปัสสนาเข้าไป วิปัสสนาเข้าไปนะเห็นความเป็นจริงของเขานะ วิปัสสนาไป เนี่ย วิปัสสนาๆ คืออะไร คือธรรมไง ธรรมโอสถไง วิปัสสนาคือชำระกิเลสไง

สิ่งนี้อย่างกลางเห็นไหม เห็นว่าเป็นไป อุปาทานในร่างกายไม่มี อุปาทานในร่างกายนะ อุปาทานความเห็นสักกายทิฏฐิความเห็นผิดไม่มี แต่มันยังมีอุปาทานอย่างละเอียดเข้ามา วิปัสสนาไป ถ้าเป็นกำลังของเจโตวิมุตติ จิตสงบก็พุทโธๆ กำหนดเข้ามา กำหนดเข้ามา อย่าให้สิ่งใดๆ มาหลอก อดอาหารอย่างไรก็ต้องอด อดอาหารเพื่อจะให้หัวใจมันเบา

เพื่อการกระทำเนี่ย ยิ่งการเข้าด้ายเข้าเข็มนะ การอดอาหารเป็นเรื่องพื้นฐานเลย เป็นเรื่องพื้นฐานไม่ใช่อดให้ตาย ไม่ใช่อดเพราะรังเกียจอาหาร ไม่ใช่อดเพราะเห็นว่าร่างกายนี้ไม่เป็นประโยชน์จะทำลายมัน ไม่ใช่! อดอาหารเพื่อสร้างกำลัง อดอาหารเพื่อสร้างปัญญา อดอาหารขึ้นมาเนี่ยจิตจะใส จิตจะไม่มีอะไรไปกวนมัน เหมือนกับของเห็นไหม ดูสิอย่างภาชนะถ้ามันสะอาดเห็นไหม มันสะอาดแล้วมันไม่มีสิ่งใดอยู่ มันจะใส่ของได้มากเห็นไหม ถ้าในภาชนะนั้นมีอะไรอยู่ในภาชนะ การใส่นั้นปั๊บภาชนะมันก็กินเนื้อที่ไปใช่ไหม นี่ก็เหมือนกัน ในเมื่อถ้าจิตอ่านเข้าไปกำลังมันเกิดขึ้นมาเนี่ยมันก็ดึงออกไปอย่างนั้นไง

แต่ถ้ามันปล่อยมันไม่มีอาหารเข้ามาในกระเพาะเรานี้ มันหิวไหม หิว หิวแต่ว่ากำลังใจไง กำลังใจมันเกิด ขณะที่กิเลสอย่างละเอียดเห็นไหม หิวใครเป็นคนหิว กระเพาะหรือหิว ลำไส้หรือหิว ปากหรือหิว กระดูกหรือหิว ไม่มีอะไรหิวเลย คนตายไปแล้วไม่ต้องกินข้าวอยู่ได้ตลอดเวลา จิตต่างหากมันเป็นผู้หิว ถ้าจิตกระหาย จิตนี้เห็นไหม เพราะอะไร เพราะกิเลสอย่างละเอียดไง เนี่ยมันทำให้เราสามารถจะเข้าไปจับกิเลสได้

มันทำให้สามารถเราได้ต่อกรกับกิเลส ระหว่างความได้และความเสีย ระหว่างกิเลสกับธรรมที่มันต่อสู้กันดำเนินการต่อไป ระหว่างกิเลสกับธรรมดำเนินการต่อไปเห็นไหม มันก็เข้าไปชำระกิเลสอย่างละเอียด ในหัวใจเนี่ยมันมีของมันอยู่ของมันแล้วเห็นไหม แล้วเราไม่ดำเนินการไง เราบอกนี่ธรรมะเป็นอย่างนี้ ธรรมะเป็นอย่างนี้ ธรรมะสำเร็จรูปเห็นไหม เนี่ยกิเลสมันหลอก กิเลสมันสวมเขา สวมให้ว่าสิ่งนี้เป็นธรรม ธรรมะแล้วด้นเดาไง มันเดาอย่างนี้ มันเห็นอย่างนี้ พระพุทธเจ้าทำอย่างนี้ ปริยัติธรรมเป็นอย่างนี้ ธรรมในธรรมเป็นอย่างนี้ มันคาดมันหมายไปหมดเลย ถ้ามันคาดมันหมายมันไม่เป็นธรรมหรอก

เนี่ย มันโง่ไหม ไม่โง่เลย ฉลาดมาก ละเอียดก็พลิกแพลงให้ละเอียด แล้ววิปัสสนาไปแล้วพิจารณากายนะ กายเนี่ยเป็นดิน น้ำ ลม ไฟ มันจะแยกออก สิ่งที่แยกออกเหมือนฉีกแบงก์ ฉีกแบงก์มันก็ไม่มีอะไรใช่ไหม นี่มันคืนสภาพเดิมของมันไม่มีอะไรใช่ไหม พิจารณาจิตก็เหมือนกัน มันจะคืนสภาพเดิมของเขา สภาพเดิมของเขา ถึงที่สุดขาด กายเป็นกาย จิตเป็นจิต แยกออกจากกันเป็นธรรมชาติเลย สิ่งที่แยกออกจากกันเป็นธรรมชาติเห็นไหม ใครเป็นคนรู้ จิตนี้เป็นคนรู้ จิตเป็นคนทำลายเขา

ธรรมะรู้ที่ไหน ธรรมะรู้ที่ใจ ใจนี้เป็นภาชนะที่รองรับธรรม รองรับธรรมมาจากไหน โดยการกระทำของตัวเห็นไหม โดยการใช้พลังงาน โดยการใช้ดุลพินิจ ใช้ปัญญา ใช้ความเป็นไปของใจ ใจใกล้ใจ เป็นการใจใกล้ใจ ไม่ใช่ขันธ์ ไม่ใช่สมอง ไม่ใช่ต่างๆ ทั้งสิ้น สิ่งนั้นเป็นวิธีการระหว่าง สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา สภาวธรรมที่ก้าวเดินไป

สิ่งที่เป็นอนัตตาจะเกิดขึ้นมาในการวิปัสสนา มันจะเกิดและตายกี่รอบก็แล้วแต่ วิญญาณจะหมุนเวียนไปๆ หมุนเวียนไปจนมรรคสามัคคีรวมเป็นสามัคคี ไม่ใช่หนึ่ง หนึ่งไม่ได้หนึ่งมีเรา หนึ่งมีอัตตา มันจะเป็นสภาวธรรมของมัน มันทำลายตัวของมันเอง จิตแก้จิต พอเกิดจากจิตแล้วทำลายที่จิตนั้น เนี่ย ขาดออกไปเห็นไหม กายเป็นกาย จิตเป็นจิต แยกออกจากกันเป็นธรรมชาติเลย ว่าง สุขมหาศาลเลย ติดได้นะ ติดเพราะอะไร ติดเพราะจิตมันว่าง ว่างมีความสุขมาก ความสุขเพราะอะไร เพราะกิเลสอย่างละเอียดไง

กิเลสไม่โง่เลยนะ มันอ้างว่านี่คือนิพพาน อ้างว่าเนี่ยตรงนี้ว่าง มีความสุข แล้วสติมันพร้อมด้วยเพราะอะไร เพราะมันมีสติรองรับ สติของอริยบุคคลรองรับไง ถ้าสติรองรับ ดูนะเราก้าวเดินไปแบบปุถุชน เราจะเผลอ หยิบของตกๆ หล่นๆ เห็นไหม แต่ถ้าผู้มีสติ ฝึกมีสติมาอย่างนี้ สติมันพร้อมนะ พร้อมเพราะว่ามันไม่ให้เห็นตัวมันไง

แต่ถ้าเรามีปัญญานะ พร้อมขนาดไหน เนี่ยย้อนกลับ ถ้าย้อนกลับเข้าไปได้ สิ่งที่เรียกว่ามรรค ๔ ผล ๔ ไง ย้อนกลับไป เป็นกามราคะ ถ้าจับได้นะ จิตจับจิตเป็นกามราคะ ถ้ากามราคะตรงนี้ย้อนขึ้นไป เราวิปัสสนากายแล้วใช่ไหม เราปล่อยกายแล้วใช่ไหม เราวิปัสสนากายแล้วกายคืนสภาพแล้วนะ มันก็ว่างนี่ก็นึกว่านิพพานไง แต่ถ้ามันย้อนกลับไป ย้อนกลับไปที่กายนะ อสุภะแท้ๆ เกิดตรงนี้ อสุภะเพราะอะไร สภาวธรรมเป็นอสุภะ สภาวะกิเลสเป็นสุภะ มันชอบ ใครบ้างไม่ชอบสิ่งที่สวยที่งาม ใครบ้างไม่ชอบสิ่งที่ดี

เราไปซื้อผลไม้เราก็ซื้อผลไม้ที่ผลงามๆ เราไปซื้อผลไม้ที่ผลงามๆ รสดีๆ ของเน่าๆ ใครไปซื้อ ไม่มีใครซื้อผลไม้เน่านะ ไปตลาดมีแต่ซื้อของสดๆ ซื้อของดีๆ ของเน่าใครซื้อมา ไม่มีใครซื้อเลยเพราะอะไร เพราะเป็นของเน่า ของเน่าในตลาดมันเป็นสภาวะแบบนั้น แต่ถ้าเป็นธรรมขึ้นมา อสุภะเป็นอย่างนี้ไง เพราะอะไร เพราะมันเป็นของเน่า มันเน่าโดยธรรมชาติของมัน มีร่างกายตรงไหนที่เกิดแล้วจะทรงตัวตลอดไป ทำไมเดี๋ยวเกิดขึ้นมาแล้วเห็นไหม จะพยายามรักษาแต่ว่าสิ่งนี้จะให้คงที่ๆ ทุกคนจะสวยงามตลอดชีวิตไง มันเป็นไปได้ไหม มันเป็นไปไม่ได้เลย

แต่มันเป็นกาลเวลาไง เวลาชีวิตภพหนึ่งชาติหนึ่ง คนหนึ่งก็มีโอกาสหนหนึ่งเป็นหนๆ ไป แต่ถ้ามันเป็นวิปัสสนาขึ้นมา มันเห็นเดี๋ยวนั้นๆ ปัจจุบันเดี๋ยวนั้นนะ จิตสงบจับขึ้นมาเห็นอสุภะ สิ่งที่เป็นอสุภะเพราะอะไร เพราะมันเป็นสภาวธรรม แต่ถ้ามีกิเลสเป็นอสุภะ กิเลสมันชอบมันสวยมันแล้วพยายามรักษากัน พยายามทำให้สวยงาม แล้วมันสวยงามเป็นไปได้ไหม เป็นไปไม่ได้เลย มันเป็นอสุภะอยู่แล้ว มันเป็นธรรมชาติของมันอย่างนั้นอยู่แล้ว

เพียงแต่ว่ากาลเวลามันยาว แล้วเราอาศัยกาลเวลานี้กิเลสมันหลอกไปแล้ว เราก็คลำ ก้ม จำนนกับมัน ยอมไปกับมันว่าสิ่งนี้เป็นอย่างนั้น ต้องรักษาอย่างนั้น แต่ถ้าเป็นอสุภะนะ มันเป็นอสุภะเพราะเป็นธรรม เป็นธรรมเพราะมีสมาธิ เป็นสมาธิเพราะเป็นปัจจุบัน เป็นปัจจุบันไม่มีกาลเวลาเข้ามาเกี่ยวข้อง กาลเวลาไง อดีตอนาคต กาลเวลาเข้ามาเกี่ยวข้อง มันก็ยึดไปเนี่ย วันนี้เจ็บไข้ได้ป่วยเป็นแผลเต็มตัวเลย เอายารักษามัน พรุ่งนี้จากแผลเน่าๆ แหมสวยงาม เช้งเลย เพราะอะไรเพราะว่ามันรักษาหายไง เนี่ยสิ่งที่โลกรักษาหายได้

แต่ถ้ามันเป็นอสุภะจากภายในล่ะ อสุภะจากภายในมันเป็นปัจจุบัน ไม่ใช่อดีตอนาคต อดีตอนาคตเห็นไหม อย่างร่างกายมันมีเซลล์มันเปลี่ยนแปลงได้ จากที่มันเน่ามันเสีย เราใช้ยาบำรุงรักษามันก็หายขึ้นมา หายขึ้นมาเดี๋ยวมันก็แปรสภาพอย่างนั้นอีก เพราะเป็นอนิจจัง มันเรื่องของสมมุติมันเป็นอย่างนี้ มันคงที่ไม่ได้ มันคงที่ไม่ได้หรอก แต่กิเลสมันเสี้ยมใจ มันเสี้ยมสภาวะแบบนั้น แต่ถ้าจิตสงบเข้ามา มันเห็นอีกสภาวะหนึ่งๆ สภาวะที่เป็นธรรม สภาวะที่เป็นปัจจุบัน สภาวะที่เป็นปัจจุบันกำลังจิตเข้ามาอย่างนี้ มันเป็นอสุภะแน่นอน มันเป็นอสุภะเพราะมันเป็นธรรม

เป็นธรรมหมายถึงว่า มันเป็นปัจจุบันแล้ว มันเป็นสภาวธรรมที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้ที่รื้อค้นไง อาสวักขยญาณเห็นสภาวะแบบนี้ แล้ววางสิ่งนี้ให้เราก้าวเดิน ที่เรียกว่าเป็นปรมัตถธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมและวินัยที่เรากราบ เรากราบ เรากราบเพราะว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้รื้อค้นขึ้นมา แล้ววางหลักธรรมอันนี้ไว้ให้เรา เรากราบตรงนั้น

แต่เราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เราเห็นของเราขึ้นมา ความเป็นไปของเรานี่มันแก้กันตรงนี้ ตรงนี้คือจิตเดี๋ยวนี้ไง ปัจจุบันเดี๋ยวนี้จิตเห็นสภาวะเดี๋ยวนี้ เพราะหมั่นฝึกหมั่นซ้อมขึ้นมา เห็นสภาวะย้อนกลับเข้ามา มันจะแยกแยะ กำลังจะเกิดขึ้นมากขึ้น ความชำนาญของจิต จิตที่มันมีวิวัฒนามันวิปัสสนาของมันมีความชำนาญมาก พอชำนาญมากเนี่ยมันก็จะย้อนขึ้นมาและระยะห่าง ระยะจากไกลเห็นไหม

ทีนี้ว่าถ้าเราไม่ทันเห็นไหม พอเราไม่ทันพอจิตขึ้นมา พอเห็นสภาวะขึ้นมาเนี่ย มันจะดึงไป ดึงไปสิ่งที่ดีงามสิ่งที่เป็นมันก็มาดึง สิ่งที่ดีงาม ดีงามได้ยังไง ดีงามคือเราทำได้ไง เราทำได้มันปล่อยวางอย่างนี้ ปล่อยวางขนาดไหนนะ ไม่มีเหตุไม่มีผล ไม่ได้ ถ้าปล่อยวางไปแล้วเนี่ย กิเลสมันหลอกได้ขนาดนั้นน่ะ ว่าสิ่งนี้สิ้น สิ่งนี้ปล่อยวางแล้ว สิ่งนี้ปล่อยวางเห็นไหม ถ้าปล่อยวาง ถ้าไม่มีสตินะ

เนี่ยกิเลสไม่โง่นะ ถึงจะเป็นอนาคามรรคก็แล้วแต่ มันจะทำให้ยอมจำนนกับมันตลอดไป ระหว่างได้กับเสีย ระหว่างได้ ความได้ของธรรมะกับความเสียของกิเลสเนี่ย มันจะต่อสู้และโต้แย้งกันตลอดเวลาแล้วพยายามจะครอบงำดวงจิตดวงนี้ เพราะดวงจิตดวงนี้เป็นภวาสวะเป็นภพ เป็นสถานที่อยู่ของกิเลส แต่ธรรมมีสภาวะที่มีเนื้อของจิต เนื้อของจิตคือตัวจิตตัวนี้ มันสามารถรับสภาวธรรมได้ สภาวธรรมคือที่คุณงามความดีแต่เป็นธรรมหยาบๆ ขึ้นมานี้ ก็ทำคุณงามความดีกับกระแสโลก

แต่ขณะวิปัสสนาขึ้นมา มันเป็นสภาวธรรมที่เราสร้างขึ้นมา ที่ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่เป็นธรรมวินัย ที่เป็นพิมพ์เขียว แล้วเราสร้างขึ้นมาเป็นสภาวธรรมของเรา เราวิปัสสนาไปบ่อยครั้งเข้าบ่อยครั้งเข้า เนี่ยการก้าวเดินอย่างนี้ การทำการอย่างนี้การเราใช้พลังงานอย่างนี้ มันจะย้อนกลับเข้ามา จนมีความชำนาญขึ้นมา เราจะไม่เชื่อ เราจะไม่เชื่อความปล่อยวาง ว่าสิ่งนี้เป็นธรรมๆ

ครูบาอาจารย์บางองค์เห็นไหม ขณะที่ปล่อยว่างหมดเลยว่า สิ่งนี้ไม่มีกิเลสแล้วเห็นไหม เนี่ยคิดว่าว่าง คิดว่าว่างนะ พอคิดว่าว่าง มันติดพอมันติดมันก็เนี่ยความหลง หลงนี้มันก็ว่างอย่างนั้นน่ะ เพราะอะไรเพราะกิเลสมันพอใจอยู่แล้ว พอใจให้เราติดไง แต่ถ้าเราเอาสุภะไง เอาความสวยความงาม เอาสิ่งที่ว่าโลกเขาว่าสิ่งนี้ดี สิ่งนี้รักษาได้ เอามาแนบไว้กับมันนะ พอมันแนบกับมัน มันแสดงตัวไงเพราะอะไร เพราะมันมีเชื้อไขเห็นไหม คนเราเนี่ยเป็นโรคมีเชื้ออยู่ เอาของแสลงเข้าไปทำไมมันจะไม่แสดงตัว แน่นอนๆ แน่นอนเลย ถ้ามันมีอยู่ในหัวใจนะ เอาสิ่งนี้ไปล่อลวงนะ ต้องออกเห็นไหม

นี่คือครูบาอาจารย์ที่ท่านมีปัญญาของท่าน ท่านแก้ไขตัวของท่านมาอย่างนั้น นี่ผู้ที่มีปัญญา ผู้ที่มีปัญญาเห็นไหม ผู้ที่ใช้ธรรม ไม่ให้กิเลสอย่างละเอียดมันหลอก หลอกกินไง เอาสิ่งที่มันเป็นกิเลส เหมือนกับไฟเนี่ย โยนเชือกเข้าไปมันจะไหม้ตลอดเวลา เอาของสิ่งที่เป็นพอใจกับกิเลส โยนไปที่กิเลสสิ โยนไปที่ใจ โยนไปที่ภวาสวะมันแสดงตัวทันที นี่ไงๆ กิเลสไง นี่ไงสิ่งที่ว่ามันชำระมันแล้วไง

การประพฤติปฏิบัติมันมีวิธีการ มันมีวิธีการของเขา การก้าวเดินของจิตของเรา เราต้องเป็นผู้ที่ฉลาด เราต้องเป็นผู้ที่มีมุมานะ เราต้องมีปัญญาของเรา แล้วการกระทำอย่างนี้ มันจะเกิดขึ้นมาจากจิตของเราเห็นไหม วิปัสสนาเข้าไปมันจะเข้ามาถึงใจ ทำลายกันที่ใจนั้น ทำลายที่ใจเสร็จแล้วเห็นไหม ยังทำต่อไปเพราะอะไร เพราะเห็นโทษของมัน เห็นโทษของกิเลส เห็นโทษของสิ่งที่ว่ามันเป็นกิเลส มันเป็นยักษ์เป็นมาร เห็นโทษมากเลย เห็นโทษมากก็มีความจงใจ ก็มีความรักษาไป จะรักษาสิ่งต่างๆ ที่เป็นเศษส่วน เศษส่วนทำไงก็อนาคา ๕ ชั้น สิ่งที่ ๕ ชั้นมันพัฒนาของมันขึ้นไป ถ้าดับที่นี่ก็ไปพัฒนาที่นั่น

แต่ถ้าเราพิจารณาไปถึงที่สุดมันจบ มันจบกระบวนการของมัน มันปล่อยหมดๆ เห็นไหม เนี่ย ขันธ์ขาดอย่างนี้ ถ้าขันธ์ขาดอย่างนี้อวิชชาอยู่ไหนๆ ภวาสวะตัวภพ ตัวภพอยู่ที่ไหน ตัวที่สถานที่ ตัวที่เป็นภพ ภวาสวะ สิ่งที่เป็นกิเลสเป็นอาสวะ ๓ อยู่ที่ไหน ไม่เห็นหรอก ไม่เห็นหรอก กิเลสละเอียดมันหลอกอีก มันฉลาดมาก ไม่โง่เลยฉลาดสุดๆ อวิชชานี่ฉลาดสุดๆ แต่ไม่ทัน ฉลาดแบบจินตนาการกันไง

เพราะว่าสิ่งนี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการ ว่ามารเนี่ยมีพญามัจจุราชต่างๆ มีอำนาจเหนือเรา เราก็ไปเขียนภาพสิ่งที่เราจินตนาการว่ามันน่าเกลียดน่ากลัวไง แต่ความจริงน่ะมันละเอียดอ่อนนะ เหมือนกับเพชรนิลจินดาอยู่กับเรา เราจะทำลายมันได้ยังไง ถ้าไม่ใช่เพชรนิลจินดา เราจะเชื่อได้ยังไงว่าสิ่งนั้นมีคุณค่า นี่ก็เหมือนกัน จิตเดิมดวงนี้ผ่องใสเพราะอะไร เพราะมันปล่อยมันอะไรมาหมด มันเป็นสภาวะใสไปหมดเลย

สิ่งต่างๆ เห็นไหม ใส สิ่งนี้มันเศร้าหมอง สุขทุกข์อันละเอียดลึกลับมาก อาลัยอาวรณ์ในหัวใจเล็กๆ น้อยๆ อยู่ในหัวใจ ไฟสุมขอน เวลาเราทุกข์เราร้อน ทำไมทุกข์ร้อนมาก เวลาทุกข์ร้อนของเรานะ แต่เวลาทุกข์ร้อนของอนาคาเห็นไหม มันจะมีความสุมขอน เนี่ยทุกข์ กิเลสของพระอนาคาเห็นไหม มีอยู่ในตำราเห็นไหม ต้องการให้เขาฟังเรา ต้องการทำให้เชื่อเรา ต้องการให้เขานับหน้าถือตาเรา เนี่ย สิ่งนี้มันก็ยังมี แต่ถ้ามัน ถ้าคิดอย่างนั้นทำไม มันเผาใจไหม มันเผาใจนะ ถ้าเผาใจทำไมเป็นอย่างนั้น เนี่ย ถ้าย้อนกลับมาเนี่ยย้อนกลับมา นี่ไงต้นขั้วของมัน

สิ่งที่เป็นจิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้หมองไปด้วยอุปกิเลสเห็นไหม ขณะที่มันผ่องใสอุปกิเลส อุปกิเลส กิเลสอย่างละเอียดเห็นไหม มันเป็นต้นเชื้อเราขับเคลื่อนไป อวิชชา ปัจจยา สังขารา สังขารา ปัจจยา วิญญานัง เนี่ยปัจจยาการของมัน ในวงรอบของมัน มันก็เสพตัวในตัวมันเอง มันเสพตัวมันเองมันมีสุขมีทุกข์อาลัยอาวรณ์ในตัวมันเองเห็นไหม แต่เพราะมันตัดทางหากินของพญามารที่ออกไป นางตัณหานางอรดีเห็นไหม

ความโลภ ความโกรธ ความหลง ปล่อยวางหมดแล้วเห็นไหม ปล่อยวางมาเป็นตัวของมัน เนี่ย ย้อนกลับ นี่กิเลสอย่างละเอียด แล้วต้องมีครูบาอาจารย์ ถ้าครูบาอาจารย์คอยเตือนสตินะ ที่ว่าศาสนาจะหมดไปๆ หมดไปอย่างนี้ไง หมดไปเพราะไม่มีครูมีอาจารย์ ไม่มีครูมีอาจารย์ ถ้าเข้ามาถึงตรงนี้ก็ว่านี่คือนิพพาน ถึงตรงไหนก็ว่านี่คือนิพพานหมด กิเลสมันจะหลอกไปตลอดเวลา

แต่ถ้ามีครูบาอาจารย์เนี่ยมันมี ธรรมสากัจฉา เอตัมมังคะละมุตตะมังเห็นไหม พูดมานี่ขั้นไหนๆ ว่ามา ถ้าพูดถึงผู้ที่ครบวงจรมันก็จะถึงที่สุด ถ้าวงจรแค่นี้หรือครับ ถ้าแค่นี้หรือครับ มาครึ่งทาง มาครึ่งทางมันจะถึงเป้าหมายได้ยังไง มาครึ่งทางมาค่อนทางมันเป็นไปไม่ได้หรอก ไปถึงก็ต้องถึงเป้าหมาย วิ่งร้อยเมตรมันต้องถึงเส้นชัย วิ่งร้อยเมตร วิ่งได้ยี่สิบเมตรบอกฉันได้เหรียญทอง ใครจะไปเชื่อ นี่ไงเนี่ยมีครูบาอาจารย์สำคัญอย่างนี้ ถ้าทำอย่างนี้มันจะย้อนกลับมาอย่างนี้ ถ้าย้อนกลับมา ถึงที่สุดเห็นไหมย้อนกลับไป ถ้ามีวาสนามันจะทำให้เราไม่เชื่อ แล้วพยายามย้อนกลับไปจับ ถ้าจับตรงนี้ได้เห็นไหม

เนี่ยมาร เนี่ยตัวอวิชชา ตัวภวาสวะ ตัวภพ ตัวเริ่มต้นของจิตปฏิสนธิ ไม่ใช่จิตวิญญาณหยาบๆ ในหัวใจเราที่เราวิญญาณกระทบนี่หรอก วิญญาณอย่างนี้ อวิชชา ปัจจยา สังขารา มันเกิดเร็วมาก ถ้าใครเห็นสภาวะแบบนั้นจะไม่พูดถึง อวิชชา ปัจจยา สังขารา สังขารา ปัจจยา วิญญานัง นกแก้วนกขุนทองอีกเลย ถ้าใครยังเป็นนกแก้วนกขุนทอง คือมันไม่เคยเห็นอวิชชาเลย แต่พอเห็นอวิชชาปั๊บมันจะเกิดไวมาก จะเกิดเป็นสภาวะของมันเห็นไหม สิ่งนี้เข้าไปจับต้องได้ ถึงบอกว่าถ้าเห็นจับต้องเป็นความจริง

ธรรมและวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นส่วนหนึ่ง แต่การประพฤติปฏิบัติของเราเนี่ยจงใจของเราเป็นอีกส่วนหนึ่ง ส่วนหนึ่ง เป็นธรรมะส่วนบุคคล ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกพระอานนท์ อานนท์เราเอาธรรมของใครไป เราไม่ได้เอาธรรมของใครไปเลยนะ เราเอาธรรมเอาหัวใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปองค์เดียว พระสารีบุตรปรินิพพานไปก็เอาของพระสารีบุตรไป

แล้วถ้าเราประพฤติปฏิบัติก็เป็นของเรา ถ้าเราปฏิบัติของเราได้ก็เป็นของเรา ถ้าเป็นของเรา เรารู้ของเราเห็นไหม เนี่ยมรรคญาณจะเกิดขึ้นมาอย่างนี้ อาสวักขยญาณเข้าไปย้อนทำลาย ทำลายอวิชชา สิ่งที่ว่ากิเลสมันไม่โง่เนี่ย มันต้องโดนธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทำลายมัน ถ้าทำลายขึ้นมาทำลายด้วยอะไร เนี่ย ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่เราประพฤติปฏิบัติเป็นธรรมของเรา เกิดมาจากเรา เกิดมาจากมรรคญาณ เกิดมาจากพลังงานของใจ เกิดมาจากความรู้สึกจากภายใน แล้วความรู้สึกจากภายในทำลายจนหมดสิ้นไปเห็นไหม ใจดวงนี้จะเป็นผู้ฉลาด อาสเวหิ จิตฺตานิ วิมุจฺจิสูติ อาสวะสิ้นไป จิตดวงนี้เป็นผู้พ้นกิเลส เอวัง